ส่ามฮู้อ๋องเอี๋ย



ส่ามอ่องฮู้หรือสามอ๋องฮู้ หรือ ซานหวางฝู่ 三王府 เป็นนามเรียกท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามองค์ ผู้เป็นคนแซ่จู๑ แซ่เฮ่งหรือแซ่อ๋องหรือแซ่หวาง๑ และแซ่หลี่๑ เหตุเกิดในสมัยราชวงศ์ถังระหว่างพ.ศ. ๑๑๖๑ – ๑๔๕๐ก่อนจะถึงราชวงศ์ถัง รัชสมัยฮ่องเต้สุยเอี๋ยงตี้ ( เอี๋ยงก่วง )แห่งราชวงศ์สุย ทรงเกณฑ์แรงงานหลายล้านคน เพื่อขุดคลองต้ายุ่นเหอ เกณฑ์ไปรบกับเกาหลีและเกณฑ์ไปสร้างซ่อมกำแพงเมืองจีน ทำให้ราษฎรเดือดร้อน หัวเมืองต่างแข็งเมืองเป็นกบฏเป็นก๊กกว่า ๑๘ ก๊กตั้งตนเป็นอ๋องสร้างอาณาจักรของตน จนสิ้นราชวงศ์สุย       เมื่อหลี่เอียนถังอ๋องที่เมืองไท่หยวนและหลี่ซื่อหมินบุตรชายปราบก๊กต่างๆได้หมด ตั้งเป็นราชวงศ์ถังที่เมืองฉางอาน ในช่วงนี้มีคนสกุลแซ่จู แซ่เฮ่ง แซ่หลี่ผู้ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน คือ จูฉ่างหรือจูฉางหรือหนานหวางหรือหนำอ๋องที่เมืองฉู่ หวางซื่อชงหรือเฮงซีชง เป็นฮ่องเต้ไคหมิง และหลี่มี่หรือหลีมิดเป็นเว่ยกง  แต่จูฉาง “ใบหน้าดำ”เคยเป็นผู้คุมขุดคลองต้ายุ่นเหอ ในช่วงหลังและเคยชอบกินเนื้อคนในช่วงที่เขาควบคุมการขุดคลอง 

        ราชวงศ์ถังครองมาถึง ๒๘๙ ปีจึงล่มสลาย และในช่วงปลายราชวงศ์ก็เช่นเดียวกับช่วงต้น เมื่อฮ่องเต้ไม่ทรงนำพาการปกครอง พวกขุนนางนายทหารต่างตั้งตนเป็นก๊กด้วยระบบการปกครองที่คิดกันขึ้นมาคือการให้อำนาจแก่ทหารประจำมณฑล ที่เรียกว่าเจ่ยตู้ซื่อ จึงทำให้บ้านเมืองวุ่นวายเป็นห้าราชวงศ์และสิบอาณาจักร จนเริ่มราชวงศ์ซ่งในพ.ศ. ๑๕๐๓  

        ส่ามอ่องฮู้ในที่นี้หมายถึงบุคคลแซ่จูคือ จูเวินหรือจูอุนหรือจูฉวนจง คนแซ่หวาง หรือแซ่อ๋อง หรือแซ่เฮ่ง คือหวางเซี่ยนจือหรือเฮ่งง่วนเจียง และแซ่หลี่ คือหลี่เค่อย่งหรือหลี่จินหวางหรือหลี่จิ้นอ๋อง ในสมัยช่วงปลายราชวงศ์ถัง เพราะใบหน้าของคนแซ่จูสีแดงตามรูปที่ปรากฏ และเรื่องราวสอดคล้องต้องกัน


บทนำ

       ฮ่องเต้ราชวงศ์ถังสืบราชสมบัติมาทั้งหมด ๒๐ รัชกาล จนถึงรัชกาลฮ่องเต้ถังซีจง ทรงครองราชย์ระหว่างพ.ศ. ๑๔๑๖ – ๑๔๓๑  เป็นช่วงสมัยที่พวกขันทีเป็นใหญ่กุมอำนาจในราชสำนัก พวกขุนนางต่างพากันโกงบ้านกินเมือง ในขณะที่พระองค์ทรงเบื่อหน่ายในการมานั่งเป็นฮ่องเต้ เมื่อมองไปทางไหนบ้านเมืองก็มีปัญหาทั้งสิ้น ที่พวกขุนนางผู้ใหญ่และพวกขันทีสร้างกันขึ้นมาเพื่อกอบโกยเอาผลประโยชน์ใส่ตน  ไม่ว่าการเก็บภาษีโหด ความยากไร้ของราษฎร และธรรมชาติซ้ำเติมไปทั่วประเทศ ไหนเกิดกบฏขึ้นมาอีก โดยเฉพาะป้อมค่ายของหวางเซี่ยนจือในปีพ.ศ. ๑๔๑๗ และตามด้วยป้อมค่ายของหวงเฉาในปีพ.ศ. ๑๔๑๘ ทำให้มีผลกระทบถึงพระองค์        หวงเฉาผู้มีบุญบารมี ตั้งตนอยู่ที่เมืองเชาโจว มีสมัครพรรคพวกจำนวนมาก โดยมีทหารเอก ๗ คน จูเวิน เป็นหนึ่งในเจ็ดคน เมื่อรวมพลจนจัดตั้งเป็นกองทัพได้แล้ว จึงยกไปตีเมืองฉางอานเมืองหลวงเมื่อพ.ศ. ๑๔๒๓ จนฮ่องเต้ถังซีจงเสด็จหนีไปประทับเมืองเสฉวน หวงเฉายกเข้าเมืองแล้วตั้งตนเป็นฮ่องเต้ ข้างจูเวินในช่วงที่เข้าไปค้นในพระราชวังพบพระขนิษฐาของฮ่องเต้เพราะหนีไม่ทัน นางจึงเป็นภรรยาของจูเวินโดยที่หวงเฉาไม่ทราบ เมื่อหวงเฉาขึ้นครองราชย์จึงรับสั่งให้จูเวินไปจับฮ่องเต้ที่เสฉวน แต่จูเวินกลับไปเข้ากับฝ่ายฮ่องเต้ซีจงเพราะภรรยา และได้รับพระกรุณาให้ไปเป็นข้าหลวงเมืองเปี้ยนโจว เปลี่ยนนามจูเวินเป็น จูฉวนจง โปรดฯให้ หลี่เค่อย่ง ไปปราบหวงเฉาจนได้รับชัยชนะแล้วเสด็จกลับไปเมืองฉางอาน เสด็จสวรรคตในปีพ.ศ. ๑๔๓๑

        ฮ่องเต้ถังจาวจง ( หลี่เย่ )เสด็จขึ้นครองราชย์ระหว่างพ.ศ. ๑๔๓๑ – ๑๔๔๗ เป็นสมัยที่เกิดกบฏขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งลุกลามมาตั้งแต่พ.ศ. ๑๔๐๒แล้ว แต่ฮ่องเต้ไม่สามารถจะปราบปรามได้

        


ฮ่องเต้เหลียงไท่จู่ ( จูเวิน )

        ฮ่องเต้เหลียงไท่จู่ 梁太祖  หรือ ฮ่องเต้เหลียงไท่จวี่หรือ เซี่ยนอู่ 獻武 แห่งราชวงศ์เหลียงครั้งหลัง หรือ โฮ่วเหลียง ประสูติเมื่อพ.ศ. ๑๓๙๕ ในรัชสมัยฮ่องเต้ถังเสวียนจง ( หลี่เฉิน ) ปีรัชกาลต้าชงที่ ๖  พระนามเดิม เวิน แซ่จู เป็นจูเวิน 朱溫

        เมื่อหวงเฉาไปสมัครเป็นทหารที่เมืองฉางอาน แต่ฮ่องเต้ไม่ทรงรับแล้วกลับไปเมืองเชาโจวตั้งตนเป็นใหญ่ ในขณะนั้นมีนายทหารเอก ๗ คน จูเวินเป็นหนึ่งในทหารเอก ด้วยเขาเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความชำนาญในเพลงอาวุธเป็นอย่างดีและอาวุธที่ใช้ประจำคือ ทวน เมื่อหวงเฉารวบรวมคนจัดตั้งเป็นกองทัพ ยกเข้าตีเมืองเหอหนาน อานฮุย หูเป่ย ในปีพ.ศ. ๑๔๒๑ รวมทั้งเจ้อเจียง เจียงซีแล้วยกกลับไปเหอหนาน ด้วยระยะทางกว่าหมื่นลี้ ตลอดเวลาจูเวินในฐานะนายพลทหารได้สู้รบด้วยความสามารถ จนถึงพ.ศ. ๑๔๒๒ จึงเข้ายึดลั่วหยางได้ แล้วยกเข้าเมืองฉางอาน ฮ่องเต้ถังซีจงเสด็จหนีไปเมืองเฉิงตู เสฉวน หวงเฉาจัดตั้งราชวงศ์ต้าฉีขึ้นเป็นฮ่องเต้ ส่วนจูเวินในขณะที่เข้าไปค้นในพระราชวัง ได้พบกับองค์หญิงหลี่อวี้เสวียนย่งพระขนิษฐาของฮ่องเต้ซีจงซ่อนตัวอยู่เพราะหนีไม่ทัน ตนจึงรับเอาไปเป็นภรรยาในขณะที่หวงเฉาไม่ทราบ

        เมื่อหวงเฉาฮ่องเต้รับสั่งให้จูเวินไปจับฮ่องเต้ถังซีจง ที่เมืองเฉิงตู ตนจึงแปรพักตร์เข้ากับราชวงศ์ถังเพราะภรรยา ฮ่องเต้ถังซีจงจึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น เซวียนอู่เจ่ยตู้ซื่อ ข้าหลวงใหญ่ผู้มีอำนาจเต็มประจำเมืองเปี้ยนโจว หรือเมืองไคฟง ในมณฑลเหอหนาน สถานที่ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ สำหรับตำแหน่งเจ่ยตู้ซื่อนี้มีอำนาจในการจัดตั้งกองทัพของตนเอง มีอำนาจในการจัดเก็บภาษีนำมาใช้จ่ายเองได้ ตั้งขุนนางบางระดับได้ ซึ่งต่อมามีผลทำให้เกิดห้าราชวงศ์และสิบอาณาจักรขึ้น

        เมื่อฮ่องเต้ถังซีจงรับสั่งให้พวกเจ่ยตู้ซื่อ และบรรดาหัวเมืองทั้งหมด ยกกองทัพไปปราบหวงเฉาที่เมืองฉางอาน    แต่จูเวินกลับไปชวนหลี่เค่อย่งทะเลาะ แล้วตนก็ยกทัพกลับเมืองเปี้ยนโจวเสีย เมื่อกองทัพหลี่เค่อย่งปราบปรามหวงเฉา และหัวเมืองกบฏบางแห่งเสร็จสิ้น เชิญเสด็จฮ่องเต้กลับเมืองฉางอาน จูเวินทราบข่าวว่าฮ่องเต้พระราชทานฐานันดรศักดิ์ให้หลี่เค่อย่งเป็นอ๋อง หรือหวาง ตนอยากได้บ้าง แต่ไม่มีผลงานในการสงครามครั้งนั้น ความแค้นจึงคุกรุ่นอยู่

        ฝ่ายจูเวินวางแผนที่จะยกตนเป็นอ๋องบ้าง จึงใช้กลวิธีแยบยลด้วยกราบทูลฮ่องเต้ว่า หลี่จินหวางเป็นกบฏ ขอให้พระองค์ยกทัพไปปราบด้วยการยุยงของจูเวิน   กับขุนนางกังฉิน คือ เทียนหลิงมู่ขันทีผู้มีอิทธิพลในราชสำนักร่วมมือกัน ด้วยการลวงฮ่องเต้ไปฆ่าเสียบนยอดเขาจนเสด็จสวรรคต เมื่อพระชนมายุเพียง ๒๗ พรรษา      หลังจากเสด็จกลับจากเสฉวนเพียงสองเดือน หลี่จินหวางทราบข่าวจึงยกทัพไปปราบ แต่เทียนหลิงมู่หนีไปอยู่กับน้องชายที่ครองเมืองเฉิงตู เขตเสฉวน หลี่จินหวางจึง ยกพระอนุชาอายุ ๒๑ พรรษาขึ้นเป็นถังจาวจง ( หลี่เย่ ) เมื่อพ.ศ. ๑๔๓๑ ฮ่องเต้ถังจาวจงจึงทรงแต่งตั้งหยางฟุกงนายทหารเอก บุตรบุญธรรมของเทียนหลิงมู่ ให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่พร้อมพระราชทานแซ่หลี่ให้ด้วย แต่ก็เกิดขัดแย้งกันจนหยางฟุกงหนีออกจากเมืองหลวง ภายหลังถูกจับได้และถูกประหารชีวิต 

        ข้างพวกทูเจี๊ยะทางเหนือได้มีสาสน์ถึงฮ่องเต้จาวจงว่า ถ้าหากข้าศึกติดพันเมืองหลวง พระองค์จะเสด็จหนีไปทางไหน ทรงกริ้วจึงยกทัพไปปราบ แต่กองทัพของพระองค์แพ้กลับมา พระองค์จึงเสด็จไปพึ่งหลี่จินหวาง ถึงกลางทาง หันเจี้ยน ข้าหลวงเมืองเล็กๆจับพระองค์กล่าวหาว่าโอรสของพระองค์จะทำร้ายเขา แต่ถูกจูเวินปราบปรามจนราบคาบ จูเวินจึงทูลเซิญฮ่องเต้จาวจงให้เสด็จกลับเมืองฉางอาน  จูเวินจึงหาวิธีการเป็นอ๋อง ด้วยการติดสินบนขุนนางกังฉินแอบปลอมรับสั่งแต่งตั้งตนเองเป็นเหลียงหวาง เมื่อพ.ศ. ๑๔๔๔ 

        เมื่อจูเวินได้เป็นอ๋องแล้ว ต้องการยึดบัลลังก์เป็นฮ่องเต้     ข้างหวางเซี่ยนจือจึงแนะนำว่า การที่จะเป็นฮ่องเต้นั้น ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เขาจึงบอกให้จูเวินสร้างพระราชวังขึ้นใหม่ที่เมืองเปี้ยนโจว แล้วทูลให้เสด็จมาประทับที่เมืองเปี้ยนโจว อำนาจต่างๆก็จะตกอยู่แก่จูเวิน แล้วค่อยวางแผนจัดการกับฮ่องเต้ทีหลัง จูเวินเห็นด้วยจึงไปกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบความคิด ที่จะย้ายเมืองหลวงไปเมืองเปี้ยนโจว พวกขุนนางต่างไม่มีใครกล้าคัดค้าน ฝ่ายหลี่จินหวางก็ไม่ทราบเรื่องนี้

        เมื่อจูเวินสร้างพระราชวังเสร็จ จึงกราบทูลเชิญฮ่องเต้ให้เสด็จไปประทับยังพระราชวังใหม่ที่เมืองเปี้ยนโจวในระหว่างทางจูเวินได้สั่งทหารของตน ให้จัดการกับพวกนายทหารองครักษ์และขุนนางผู้ใหญ่ตามเสด็จจนสิ้น  ในขณะเดียวกัน จูเวินก็สั่งนายทหารคนสนิทด้วยจำนวนพลหนึ่งหมื่น ให้ไปรักษาเมืองฉางอานไว้ด้วยในปีพ.ศ. ๑๔๔๓ จูเวินทำการสอบสวนพวกขันทีแล้วประหารชีวิตเสียสองคน พวกขันทีวางแผนที่จะปลดฮ่องเต้จาวจงเสีย ด้วยพวกตนเสียผลประโยชน์โดยควบคุมไว้ในราชสำนัก แล้วทำการกวาดล้างพวกขุนนางที่ไม่ใช่พวกตน แต่จูเวินมีกำลังทหารกล้าแข็งกว่าจึงไม่กล้าจัดการ จำใจต้องยกฮ่องเต้ให้ครองราชย์ต่อไป เมื่อข่าวไปถึงจูเวิน ตนจึงเข้าทำการกวาดล้างพวกขันทีเสียก่อน ด้วยการให้ทหารของตนเข้าควบคุมพวกขันทีทั้งหมดในวังหลวงจำนวนหลายร้อยคน แล้วสั่งให้ฆ่าเสียสิ้น ซึ่งเป็นผลงานของจูเวินที่สามารถขจัดอิทธิพล และการถืออำนาจบาทใหญ่อยู่เหนือราชสำนักของพวกขันทีที่ทำกันต่อเนื่องมากว่าร้อยปี พร้อมกับบังคับให้ฮ่องเต้มีรับสั่งไปตามหัวเมือง ที่เป็นผู้นำทางทหารทุกคนให้จัดการฆ่าพวกขันทีเสียให้สิ้น ในขณะเดียวกันเป็นการปูทางให้จูเวินก้าวไปสู่การเป็นฮ่องเต้ได้สะดวกขึ้น 

        เมื่อกลับไปถึงเมืองหลวงใหม่ งานราชการต่างๆในเมืองเปี้ยนโจว จูเวินเป็นคนสั่งทั้งสิ้น ปฏิบัติตนเหมือนผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วปลงพระชนม์ฮ่องเต้จาวจงเสีย  ยกเอาโอรสอายุ ๑๓ พรรษาขึ้นเป็นฮ่องเต้หุ่นทรงพระนามว่าฮ่องเต้ถังจาว

เซวียนตี้หรืออายตี้(หลี่จวี้) เมื่อพ.ศ. ๑๔๔๗ ด้วยเห็นว่าพวกขุนนางผู้ใหญ่บางส่วนยังจงรักภักดีราชวงศ์ถังอยู่ จนล่วงถึงพ.ศ. ๑๔๕๐ เมื่อจูเวินเห็นว่าสถานการณ์สุกงอม จึงประกาศตนเป็นฮ่องเต้เหลียงไท่จู่ ตั้งราชวงศ์เหลียงหรือโฮ่วเหลียง ใช้ปีรัชกาลว่าไคผิง แล้วแต่งตั้งขุนนางครบทุกตำแหน่ง ส่วนฮ่องเต้ถังจาวเซวียนตี้ปลดลดฐานะลงเป็นจีอินหวาง    ฮ่องเต้เหลียงไท่จู่จึงรับสั่งให้ ขุนนางนายทหารคนสนิทสองคน นำสุรายาพิษพระราชทานให้หลี่จีอินหวางเสวย จนสิ้นพระชนม์ แล้วจูเวินจึงสั่งเก็บนายทหารสองคนนั้นทีหลัง ทำการกวาดล้างเชื้อพระวงศ์แซ่หลี่ในเมืองหลวงเปี้ยนโจวจนหมดสิ้น รวมทั้งพวกขุนนางผู้ใหญ่ที่เคยคัดค้านเขาและตามเสด็จมาและยังหลงเหลืออยู่ พวกที่หนีทันก็หลีกลี้หนีเข้าป่าไปอยู่ตามภูเขา เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเป็นแซ่อื่น หมดยุคราชวงศ์ถัง พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ฮ่องเต้หลียงไท่จู่ยึดครองอยู่แถบภาคเหนือ

        ฝ่ายหลี่จินหวางไม่ยอมขึ้นกับฮ่องเต้เหลียงไท่จู่ โดยยึดครองพื้นที่แถบมณฑลซานซี ตั้งเป็นอาณาจักรจิ้น ยกตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินจิ้น เพื่อวางแผนที่จะกอบกู้ราชวงศ์ถังขึ้นมาใหม่ ในฐานะที่ตนเป็นเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ถัง

        พระเจ้าหลี่จินหวาง จึงยกทัพไปประชิดเมืองเปี้ยนโจว ฮ่องเต้เหลียงไท่จู่โปรดฯให้หวางเซี่ยนจือเป็นแม่ทัพใหญ่ ด้วยจำนวนพล หนึ่งแสน พร้อมกับองค์ชายจูอิ้วกุ้ย 朱友珪 โอรสองค์โตกำกับทัพไปด้วย โดยยกไปประจันหน้ากับทัพของหลี่จินหวางที่ตำบลเกยปอซาน  หวางเซี่ยนจือเปิดฉากรบกับทัพของหลี่จินหวาง ปรากฏว่า เขาได้ฆ่านายทหารเอกของหลี่จินหวางไปหลายคน โดยเฉพาะบุตรบุญธรรมและบุตรของหลี่จินหวางตายไป ๖ คน ทำให้หลี่จินหวางเสียใจมาก เมื่อเข้าสู้รบกับหวางเซี่ยนจือหลายครั้ง และทุกครั้งกลับแพ้ยับเยิน จนครั้งสุดท้ายกระอักโลหิตสิ้นพระชนม์ในสนามรบ พระชนมายุได้ ๖๒ พรรษาเมื่อพ.ศ. ๑๔๕๑

        ฝ่ายหวางเซี่ยนจือ ถูกทหารเอกของหลี่ลู่หวางวางแผนยึดเสบียงอาหารจนหมดสิ้น เมื่อตนเสียเสบียงและทหารไปก็เสียใจ เมื่อองค์ชายจูอิ้วกุ้ยและองค์ชายจูอิ้วเจิ้นเสด็จมาให้กำลังใจ ตนจึงให้องค์ชายทั้งสองกลับไปรายงานการสู้รบ และขอเสบียงและทหารจากฮ่องเต้เหลียงไท่จู่มาเพิ่มเติม  

        เมื่อองค์ชายทั้งสองเสด็จเข้าไปในพระราชวัง ให้ขันทีกราบทูลฮ่องเต้เหลียงไท่จู่เพื่อขอเข้าเฝ้า  ในขณะที่ฮ่องเต้เหลียงไท่จู่กำลังเสพสุราร่าเริงอยู่กับบุตรสะใภ้ ผู้เป็นฮูหยินขององค์ชายจูอิ้วกุ้ย เมื่อองค์ชายเห็นดังนั้นจึงชักกระบี่ออกฟันพระบิดาจนพระกรขาดไปข้างหนึ่ง แล้วเสด็จหนีไปที่บัลลังก์ตะโกนว่าบุตรกำลังฆ่าบิดา แต่องค์ชายไม่ฟังกลับเอากระบี่ฟันถูกกลางพระเศียรผ่าออกเป็นสองซีกจนเสด็จสวรรคต เมื่อพ.ศ. ๑๔๕๕ รวมพระชนมายุ ๖๐ พรรษา

        ข้างองค์ชายจูอิ้วเจิ้นเข้าไปเห็นเหตุการณ์ จึงสู้รบกับพี่ชาย องค์ชายจูอิ้วกุ้ยสะดุดพระศพล้มลง องค์ชายจูอิ้วเจิ้นจึงฟันพระเชษฐาเข้าที่ศีรษะสิ้นพระชนม์อีกองค์หนึ่ง พวกขุนนางผู้ใหญ่จัดการพระศพเสร็จแล้ว ทูลเชิญองค์ชายจูอิ้วเจิ้นขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า ฮ่องเต้เหลียงมั่วตี้ ใช้ปีรัชกาลว่า เฉียนฮั้วที่ ๑ เมื่อพ.ศ. ๑๔๕๖ แล้วมีสาสน์เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงหวาง

เซี่ยนจือที่สนามรบ

        

        ราชวงศ์เหลียง หรือโฮ่วเหลียง


        ๑.   ฮ่องเต้เหลียงไท่จู่ 梁太祖 ( จูเวิน ) ใช้ปีรัชกาลดังนี้  ไคผิง พ.ศ. ๑๔๕๐ – ๑๔๕๔  ปีเฉียนฮั้ว พ.ศ. ๑๔๕๔ – ๑๔๕๕

        ๒.   ฮ่องเต้เหลียงมั่วตี้ 梁末帝( จูอิ้วเจิ้น หรือ จูเจิ้น ) ใช้ปีรัชกาลเฉียนฮั้ว พ.ศ. ๑๔๕๖ – ๑๔๕๘ ปีเจินหมิงพ.ศ. ๑๔๕๘ – ๑๔๖๔ ปีหลงเต๋อ พ.ศ. ๑๔๖๔ – ๑๔๖๖ 

        ราชวงศ์เหลียงก็ล่มสลาย   


        

        

หวางเซี่ยนจือ


        หวางเซี่ยนจือ 王獻之, 王献之 หรือ เฮ่งง่วนเจียง เป็นชาวเมืองผูโจว เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด มีลักษณะเป็นผู้นำ ได้ศึกษาเพลงอาวุธต่างๆ ชำนาญในการใช้ตะบองเหล็ก ง้าวและกระบี่ และมีพละกำลังมาก  เมื่อเจริญเติบโตขึ้น ได้เห็นถึงความทุกข์ยากของชาวนา ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ การถูกขูดรีดภาษีอย่างไม่เป็นธรรม คนรวยยิ่งรวยขึ้น แต่คนจนยิ่งจนลงเขาจึงคิดก่อการขึ้นที่เมืองฉางเอวี๋ยน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเอวี๋ยนเซี่ยน มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน  เขาได้รวมรวมกลุ่มชาวนา พ่อค้าที่ถูกพวกขุนนางขูดรีด ไว้เป็นกำลังพลหลายพันคน ด้วยความสามารถของเขา จึงจัดตั้งกองพลได้รวดเร็วในปีพ.ศ. ๑๔๑๗ 

        ในขณะเดียวกันหวงเฉาก็จัดตั้งกำลังพลที่เมืองเชาโจว ทางเหนือเมืองโจวเซี่ยน มณฑลซานตงในปัจจุบัน ในปีพ.ศ. ๑๔๑๘ ต่างฝ่ายต่างรวบรวมพลได้รวดเร็วเป็นหมื่นคน เพราะความยากไร้และถูกเอาเปรียบจากพวกขุนนางกังฉิน ชาวบ้านจึงให้ความร่วมมือเป็นทหาร เมื่อทางราชสำนักทราบเรื่อง จึงให้ขุนนางผู้ใหญ่ไปขอความร่วมมือจากหวางเซี่ยนจือและหวงเฉา ให้ยุติบทบาทเสีย โดยทางราชสำนักกลัวว่าเมื่อป้อมค่ายทั้งสองเติบใหญ่ขึ้นแล้วจะปราบยาก ซึ่งเป็นอันตรายต่อประเทศ หวางเซี่ยนจือจึงยอมรับการประนีประนอมครั้งนี้ ฮ่องเต้จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ขั้นสูงให้หวางเซี่ยนจือ 

        ดังนั้นกองทัพของหวางเซี่ยนจือ จึงต้องเป็นปฏิปักษ์กับกองทัพของหวงเฉาไปโดยปริยาย กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างมีพลรบเป็นแสนคน เมื่อการสู้รบกันขึ้น พวกรี้พลต่างล้มตายลงเป็นอันมาก ในที่สุด กองทัพของหวางเซี่ยนจือก็พ่ายแพ้แก่หวงเฉา  หวางเซี่ยนจือ จึงจำยอมต้องเข้าด้วยกับหวงเฉาเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายราชสำนักอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกองทัพของหวางเซี่ยนจือเข้าสู้รบกับกองทัพหลวง ทหารของเขาถูกจับกุมเป็นจำนวนมาก แต่ทางการก็ปล่อยตัวไปจนหมดสิ้น ซึ่งทหารกลุ่มนี้ต่างทิ้งเขาไปเข้ากับหวงเฉา ส่วนพวกทหารที่ไม่ถูกจับกุมอีกจำนวนหนึ่งของเขาต่างหนีทัพไปสมัครเข้าด้วยกับหวงเฉา เขาหมดกำลังใจจึงจำต้องปลีกหลีกลี้ กลับไปตั้งป้อมค่ายของตนใหม่

       หวางเซี่ยนจือไปเคลื่อนไหวบริเวณแม่น้ำอินิฮอ แขวงเมืองซิวเจียงกุ้ย ได้พรรคพวกจำนวนหนึ่ง เมื่อหลี่ซุนเฮ้าบุตรบุญธรรมของหลี่จินหวางเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เดินทางไปตรวจการทางภาคเหนือ ผ่านไปทางนั้น จึงได้สู้รบกันขึ้น แต่หวางเซี่ยนจือสู้ไม่ได้ หลี่ซุนเฮ้าจึงปล่อยตัวไป เขาจึงไปฝึกปรือการใช้อาวุธให้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น

        ฝ่ายจูเวินหวางหรือเหลียงหวาง  เมื่อทราบว่าหลี่ซุนเฮ้าถึงแก่กรรมแล้ว ด้วยความแค้นหลี่ซุนเฮ้า จึงสั่งให้เซียงเอี๋ยงไปลักขุดศพหลี่ซุนเฮ้าเอามาจะสับให้เป็นชิ้นๆ แต่เซียงเอี๋ยงกลับไปเจอหวางเซี่ยนจือกลางทาง จึงชวนกันมาสมัครเป็นทหารเอกของเหลียงหวาง  จูเวินหวางจึงแต่งตั้งให้เป็นนายทหารใหญ่ เมื่อจูเวินหวางปรึกษาข้อราชการ เขาจึงแนะนำให้จูเวินหวางรวบอำนาจเป็นฮ่องเต้เสียเอง ด้วยการสร้างพระราชวังใหม่ที่เมืองไคฟงหรือเปี้ยนโจว แล้วเชิญเสด็จฮ่องเต้ถังจาวจง ( หลี่เย่ )มาประทับ การทั้งปวงก็จะสำเร็จโดยง่าย

        เมื่อสร้างพระราชวังเสร็จแล้ว จูเวินหวางจึงกราบทูลเชิญเสด็จไปประทับที่เมืองเปี้ยนโจว อำนาจของฮ่องเต้ทั้งหมดจึงตกเป็นของตน แล้วลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้จาวจงเสีย เมื่อพ.ศ. ๑๔๔๗ยกโอรสอายุ ๑๓ พรรษาขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หุ่นทรงพระนามว่าฮ่องเต้จาวเซวียนตี้หรืออายตี้ ( หลี่อวี้ )ครองราชสมบัติได้ ๓ ปี แล้วบังคับฮ่องเต้ให้สละราชสมบัติให้ตน ในปีพ.ศ. ๑๔๕๐ เสด็จขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า ฮ่องเต้เหลียงไท่จู่ ใช้ปีรัชกาลว่าไคผิง ลดฐานะฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นหลี่จีอินหวาง รับสั่งให้นายทหารคนสนิทสองคน เอาสุรายาพิษพระราชทานให้หลี่จีอินหวางจนสิ้นพระชนม์ สิ้นแผ่นดินราชวงศ์ถัง แล้วทรงแต่งตั้งหวางเซี่ยนจือเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร

        ฝ่ายหลี่จินหวางจึงยกทัพไปประชิดเมืองเปี้ยนโจว ฮ่องเต้เหลียงไท่จู่โปรดฯให้หวางเซี่ยนจือเป็นแม่ทัพใหญ่ ด้วยจำนวนพล หนึ่งแสน พร้อมกับองค์ชายจูอิ้วกุ้ยโอรสองค์โตกำกับทัพไปด้วย โดยยกไปประจันหน้ากับทัพของหลี่จินหวางที่ตำบลเกยปอซาน  หวางเซี่ยนจือเปิดฉากรบกับทัพของหลี่จินหวาง ปรากฏว่าเขาได้ฆ่านายทหารเอกของหลี่จินหวางไปหลายคน โดยเฉพาะบุตรบุญธรรมและบุตรของหลี่จินหวางตายไป ๖ คน ทำให้หลี่จินหวางเสียใจมาก เมื่อเข้าสู้รบกับหวางเซี่ยนจือหลายครั้ง และทุกครั้งกลับแพ้ยับเยิน

        วันหนึ่งหวางเซี่ยนจือให้หวางเซี่ยนหลงน้องชาย ออกรบกับหลี่จินหวาง จวนเจียนจะเสียทีแก่หวางเซี่ยนหลง ตนจึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง ขอให้หลี่ซุนเฮ้าช่วยด้วย วิญญาณของหลี่ซุนเฮ้าจึงปรากฏ ตะเพิดหวางเซี่ยนหลง จนเขาตกใจ พลัดตกจากหลังม้า โลหิตไหลออกมาทางปากจมูกสิ้นใจในสนามรบ ทำให้บรรดาทหารกองทัพเมืองเปี้ยนโจวกลัวกันมาก

        ฝ่ายกองทัพของหวางเซี่ยนจือเสบียงอาหารร่อยหรอลงจวนหมด จึงมอบให้องค์ชายจูอิ้วกุ้ยกลับไปเมืองเปี้ยนโจวขอเสบียงอาหารและทหารเพิ่มเติม เมื่อองค์ชายแวะพักโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งมีคนพูดหนาหูว่า องค์ชายไปทัพกับหวางเซี่ยนจือ ข้างทางพระราชวังฮ่องเต้กลับร่าเริงกับบุตรสะใภ้ชายาขององค์ชายจูอิ้วกุ้ย แต่ตนก็ไม่สนใจ

        ฝ่ายหวางเซี่ยนจือตั้งแต่น้องชาย ถูกผีหลี่ซุนเฮ้าเข้าสิงจนตายแล้ว ตนขยาดไม่ออกรบหลายวัน แต่ก็แข็งใจออกไปท้าหลี่จินหวางรบ หวางเซี่ยนจือฆ่านายทหารเอกของหลี่จินหวางจนหมดสิ้น เขาไล่ฟันทหารหลี่จินหวางไปจนถึงหน้าค่าย ข้างหลี่จินหวางซึ่งแม่นธนูจึงยิงถูกหวางเซี่ยนจือ พวกทหารรีบพากลับเข้าค่ายได้ 

        หลี่จินหวางได้นายทหารหนุ่มน้อยฝีมือดีคนหนึ่งชื่อ กอซือกี่ ได้เข้ารบกับหวางเซี่ยนจือกว่าสามร้อยเพลงทั้งวัน จนพลบค่ำจึงหยุดรบ ด้วยความชำนาญในการรบมามาก หวางเซี่ยนจือจึงวางแผนฆ่ากอซือกี่จนสำเร็จ ทำให้หลี่จินหวางเสียใจมาก กระอักเลือดออกมา สิ้นพระชนม์ในค่ายนั่นเอง ด้วยอายุ  ๖๒ พรรษา ทางกองทัพจึงแต่งตั้งหลี่ลู่หวางโอรสหลี่จินหวางเป็นแม่ทัพแทน

        ฝ่ายหลี่ลู่หวางมีหนังสือไปขอกำลังรบจากพระญาติ  คือหลี่อิวจินหวางที่เมืองไท่ท่งซื่อ ได้ส่งนายทหารหนุ่มอายุ ๒๐ ปีหน้าตาดีมาให้ชื่อ ซื่อจิ้งถัง  แต่หลี่หลู่หวางไม่ค่อยจะเชื่อมือ ซื่อจิ้งถังจึงตอบว่า “ธรรมดาการศึกสงคราม จะอาศัยชนะแก่ข้าศึกด้วยกำลังฝีมือเข้มแข็งอย่างเดียวนั้นไม่ได้ ต้องประกอบสติปัญญากลอุบาย จึงจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึก ครั้งนี้ท่านมาตั้งสู้รบกับหวางเซี่ยนจือ จะเอาฝีมือเข้มแข็งอย่างเดียว จึงได้พากันมาตายเสียนักหนา ข้าพเจ้านี้ก็เป็นเชื้อเหล่าทหารมาถึงเก้าชั่วแล้ว ถ้าไม่เชื่อคุณวิชาตัว ก็ไม่อาจรับอาสามา”

         ฝ่ายกองทัพของหวางเซี่ยนจือ เมื่อกองเสบียงเดินทางกลับมาก่อนถึงค่าย ถูกกลอุบายของซื่อจิ้งถังนายทหารหนุ่มน้อยของหลี่ลู่หวางปล้นเอาไปสิ้น หวางเซี่ยนจือจึงให้องค์ชายจูอิ้วกุ้ยกับองค์ชายจูอิ้วเจิ้นกลับไปเมืองเปี้ยนโจวอีกครั้ง เพื่อขอเสบียงใหม่ 

         ฝ่ายหวางเซี่ยนจือเมื่อออกไปสนามรบ เห็นการจัดทัพถูกต้องตามตำราพิชัยสงคราม จึงพูดกับนายทหารคนใกล้ชิดว่า ตั้งแต่มาสู้รบกับหลี่จินหวางปีเศษ เพิ่งเห็นครั้งนี้ที่จัดทัพได้ถูกต้องตามตำรา แต่พอเห็นหนุ่มน้อยซื่อจิ้งถัง เขาเกิดประมาท เมื่อเข้าสู้รบกับซื่อจิ้งถัง เขาถูกซื่อจิ้งถังตีด้วยกระบองเหล็กที่ไหล่ได้รับความเจ็บปวด จึงขับม้าหนีไปได้

        หวางเซี่ยนจือเข้ารบกับซื่อจิ้งถังเป็นครั้งที่สอง ก็พ่ายแพ้กลับมา ในขณะที่เสบียงร่อยหรอลง จำนวนทหารก็เหลือน้อย จึงมีหนังสือไปขอเสบียงและทหารเพิ่มเติม แต่ถูกกลอุบายของซื่อจิ้งถังด้วยการให้เตียเป่า ปลอมเป็นทหารของหวางเซี่ยนจือหลอกและยึดเสบียงไปจนหมดสิ้น ( เตียเป่าคือปู่ของเตียคังเอี๋ยนหรือจ้าวควงอิ้น ผู้เป็นต้นราชวงศ์ซ่ง ) 

        ฝ่ายหวางเซี่ยนจือเสียเสบียงและทหารไปก็เสียใจ เมื่อองค์ชายจูอิ้วกุ้ยและองค์ชายจูอิ้วเจิ้นเสด็จมาให้กำลังใจ ตนจึงให้องค์ชายทั้งสองกลับไปรายงานการสู้รบ และขอเสบียงและทหารมาเพิ่มเติม  

        เมื่อองค์ชายทั้งสองเสด็จเข้าไปในพระราชวัง ให้ขันทีกราบทูลฮ่องเต้เพื่อขอเข้าเฝ้า  ในขณะที่ฮ่องเต้เหลียงไท่จู่กำลังเสพสุราร่าเริงอยู่กับบุตรสะใภ้ฮูหยินขององค์ชายจูอิ้วกุ้ย เมื่อองค์ชายเห็นดังนั้นจึงจึงชักกระบี่ออกฟันพระบิดาจนเสด็จสวรรคต ข้างองค์ชายจูอิ้วเจิ้นเข้าไปเห็นจึงสู้รบกับพี่ชาย องค์ชายจูอิ้วกุ้ยสะดุดพระศพล้มลง องค์ชายจูอิ้วเจิ้นจึงฟันพระเชษฐาสิ้นพระชนม์อีกองค์หนึ่ง พวกขุนนางผู้ใหญ่จัดการพระศพเสร็จแล้วทูลเชิญองค์ชายจูอิ้วเจิ้นขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า ฮ่องเต้เหลียงมั่วตี้ ใช้ปีรัชกาลว่า เฉียนฮั้วที่ ๑ พ.ศ. ๑๔๕๖แล้วมีสาสน์ถึงหวางเซี่ยนจือ ที่สนามรบ  ฝ่ายจ้าวควงอิ้น แห่งเมืองท่งไท่ยกทัพไปช่วยหวางเซี่ยนจือ

        ฝ่ายกอเฮงจิวบุตรกอซื่อกี่อายุ ๑๗ ปี อาสาหลี่ลู่หวางเข้ารบกับหวางเซี่ยนจือ เขากล่าวว่า “หวางเซี่ยนจือคนนี้มีกำลังและฝีมือกล้าหาญอุปมาเหมือนเสือร้าย จะจับตัวด้วยกำลังนั้น ถึงจะตายก็ขบกัดเอาป่วยเจ็บ”ตนจึงหาที่ทางใกล้ภูเขาเพื่อลวงหวางเซี่ยนจือ ไปฆ่าเสีย ด้วยกระบวนกลศึกเรียกว่า มังกรทั้งห้า คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ลม ไฟ และทอง เป็นห้าทัพ แล้วให้แม่ทัพแต่งตัวสวมเสื้อลายมังกรสีเหลืองเหมือนฮ่องเต้ห้าพระองค์  แล้วจัดนายทหาร ๗๒ คน จัดกองล่อหวางเซี่ยนจือ ให้ไปติดกับดักที่ภูเขาเกาเกงตัง ทุกคนในที่ประชุมต่างเห็นด้วย

        กอเฮงจิวจึงให้หลี่ฉุนซวี่ หลี่ซื่อเอวี๋ยน จ้าวควงอิ้น ซื่อจิ้งถังและก้วยอุย สวมเสื้อเหลืองลายมังกรแบบฮ่องเต้ ( ทั้งห้าคนนี้ต่อมาได้เป็นฮ่องเต้ทุกคน ) แล้วกอเฮงจิวออกไปร้องท้ารบกับหวางเซี่ยนจือ

        หวางเซี่ยนจือจึงออกรบกับกอเฮงจิว ติดพันไปจนถึงภูเขาเกาเกงตัง ฝ่ายกองทัพของซื่อจิ้งถังทั้งห้าทัพโอบล้อมกองทหารของหวางเซี่ยนจือ แล้วเข้าตะลุมบอนฆ่าทหารของหวางเซี่ยนจือซึ่งมีจำนวนน้อยตายสิ้น เหลือเขาคนเดียว กอเฮงจิวเอากระบองเหล็กตีถูกไหล่เขา รบกันจนพลบค่ำหวางเซี่ยนจือจึงหนีเข้าไปในถ้ำ 

        รุ่งเช้าหวางเซี่ยนจือเห็นเงียบสงบจึงออกจากถ้ำ ได้ยินเสียงประทัด เห็นกองทัพธงสีต่างๆล้อมไว้โดยรอบยากที่จะหนีไปได้ จึงคิดว่าทวยเทพเจ้าทั้งหลายคงไม่โปรดเขาอีกแล้ว เมื่อเขาเป็นชายชาติทหารนักรบ หาควรที่จะให้ตัวเองตายด้วยคมกระบี่ของผู้อื่นไม่ จึงเอากระบี่เชือดคอตาย ณ ที่นั้น ประมาณ พ.ศ. ๑๔๕๗ – ๑๔๕๘ ในปีรัชกาลเฉียนฮั้ว


หลี่จินหวาง

        หลี่จินหวาง 李晋王 หรือหลีจิ้นอ๋อง หรือพระเจ้าจินหวางแห่งอาณาจักรจิ้น เป็นผู้มีความเก่งกล้าสามารถในการรบและมีความจงรักภักดีต่อราชสกุลแซ่หลี่มากคนหนึ่ง

        หลี่จินหวางเดิมชื่อ เค่อย่ง แซ่หลี่ ในราชสกุลแซ่หลี่แห่งราชวงศ์ถัง ถือกำเนิดเมื่อพ.ศ. ๑๓๙๙ ในรัชสมัยฮ่องเต้ถังเสวียนจง ( หลี่เฉิน ) ในปีรัชกาลต้าชงที่ ๑๐ บิดาเป็นบุตรของหลี่ก๊กเซียงอ๋อง หลี่ก๊กเซียงอ๋องเป็นโอรสของฮ่องเต้ถังอู่จง ( หลี่เอี๋ยน ) วันหนึ่งหลี่เค่อย่งเกิดทะเลาะชกต่อยกับต้วนเหวินฉู่ผู้เป็นน้องพระมเหสีของฮ่องเต้จนฟันหักไปหลายซี่ ขณะที่เขาอายุประมาณ ๑๖- ๑๗ ปี ทรงกริ้วมากจึงเนรเทศหลี่เค่อย่งออกไปอยู่ชายแดนพวกซาทัวเติร์ก หลี่เค่อย่งจึงไปอยู่กับกลุ่มพวกซาทัวเติร์ก ปรับปรุงตนเอง ด้วยการฝึกวิทยายุทธแบบพวกเติร์กในการขี่ม้ายิงธนู การสู้รบบนหลังม้า การจัดตั้งกองพลนักรบแบบเติร์ก หลี่เค่อย่งมีความเชี่ยวชาญในการยิงธนูแม่นมาก นอกจากนี้ยังคล่องแคล่วในการใช้ง้าว กระบี่ และอาวุธอื่นๆ จึงมักเข้าใจกันว่าหลี่เค่อย่งเป็นชาวชาทัวเติร์ก

        เมื่อมีพละกำลังกล้าแข็ง หลี่เค่อย่งจึงรวบรวมอาณาจักร แล้วตั้งตนเป็นอ๋องแห่งอาณาจักรชาทัวเติร์ก รวบรวมพลพรรคได้ประมาณสี่แสนคน แล้วจัดตั้งกองพลทหารม้าที่เก่งกล้า ให้ทุกคนสวมเกราะเหล็กสีดำมีจำนวนสี่หมื่นนาย จนได้ชื่อว่า กองพลทหารกา ไปรบที่ไหนก็ตามจะเคลื่อนที่เร็ว รบเร็วด้วยการขี่ม้า จนเมืองต่างๆขยาดพวกทหารกาของหลี่เค่อย่ง หลี่เค่อย่งมีบุตรของตนและบุตรบุญธรรมรวม ๑๓ คน กล่าวกันว่าดวงตาของหลี่เค่อย่ง ข้างขวาเล็กข้างซ้ายโต จนได้ชื่อว่า ขุนพลตาเดียว

        เมื่อต้วนเหวินฉู่มีตำแหน่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ สร้างความไม่พอใจให้กับลูกน้องของหลี่เค่อย่ง และขอให้เขายกทัพไปปราบ เขาจึงยกทัพไปปราบต้วนเหวินฉู่ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ทางราชสำนักมากขึ้น ทางราชสำนักจึงให้ยกทัพไปปราบหลี่เค่อย่ง แต่ปรากฏว่าเกิดกบฏขึ้นหลายเมือง ทางการจึงหันไปปราบพวกกบฏก่อน โดยเฉพาะเมื่อหวงเฉายกทัพเข้าตีเมืองฉางอานเมืองหลวง จนพระองค์ต้องหนีไปอยู่เมืองเฉิงตูที่เสฉวน

        พวกขุนนางผู้ใหญ่จึงกราบทูลฮ่องเต้ซีจง ให้หลี่เค่อย่งมาช่วย พระองค์จึงมีรับสั่งให้มีหนังสือพร้อมสิ่งของและพระราชทานอภัยโทษ พร้อมทั้งพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นตำแหน่ง เจ่ยตู้ซื่อ หรือข้าหลวงใหญ่ทางทหาร ประจำเหอตง และเป็นแม่ทัพใหญ่ด้วย เป็นหลี่เค่อย่งเจียงไท่จวิน และให้เป็นผู้สำเร็จราชการหัวเมืองใหญ่ ๔ หัวเมือง คือเมืองคีโจว ไท่โจว เจียโจวและจีโจว พร้อมกับทองคำ ๑๐ เกวียน เสื้อลายมังกรและเข็มขัดประดับหยก นอกจากนี้ยังทรงรับสั่งให้หัวเมืองใหญ่ ๒๘ หัวเมือง รวมทั้งเมืองเปี้ยนโจวของจูเวินด้วย โดยให้ไปรวมพลพร้อมกันกับทัพของหลี่จินหวาง เพื่อเข้าตีเมืองฉางอานที่หวงเฉาครองอยู่

        หลี่เค่อย่งไท่เจียงจวิน เมื่ออายุได้ ๒๖ ปีจึงยกทัพใหญ่ไปตีเมืองฉางอาน     โดยมอบให้หลี่เค่อจวินเป็นทัพหน้าด้วยกองพลทหารม้ากาสี่หมื่นนาย เข้าโจมตีฮ่องเต้หวงเฉาที่ทงโจว ส่วนกองทัพหลี่เค่อย่ง เข้าโจมตีกองทัพกบฏกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นคน ที่ตำบลเหลียงเทียนปั๋วเมื่อพ.ศ. ๑๔๒๕ จนแตกพ่าย แล้วจึงยกทัพเข้าเมืองฉางอานในปีพ.ศ. ๑๔๒๗  กองทัพของหลี่เค่อย่งยกข้ามแม่น้ำหวงเหอ เข้ากวาดล้างพวกกบฏที่ตำบลจงโม่ว ซึ่งมีซังเอี๋ยงกับเก๋อคงโจวเป็นหัวหน้า จนพวกเขายอมแพ้ ขอเป็นพวกฝ่ายราชสำนักถัง

        ฝ่ายกองพลทหารม้ากา ยกเข้ารุกกองทัพของหวงเฉาที่หนีเข้าเหอหนานแล้วหนีต่อไปจนถึงหุบเขาหลงหู ใกล้ตำบลไหลอู่มณฑลซานตงในปัจจุบัน แล้วบังคับให้หวงเฉาฆ่าตัวตาย ณ ที่นั้นเมื่อพ.ศ. ๑๔๒๗ พร้อมกับช่วยจูเวินปราบกบฏด้วย

        เมื่อปราบปรามกบฏราบคาบไปส่วนหนึ่งแล้ว จึงกราบทูลเชิญฮ่องเต้ถังซีจงเสด็จกลับฉางอาน จากการปราบกบฏครั้งยิ่งใหญ่นี่เอง จึงมีความชอบมาก พระองค์จึงพระราชทานฐานันดรศักดิ์ให้สูงขึ้น เป็นชั้น หวางหรืออ๋อง  เป็นจินหวาง เมื่อ พ.ศ. ๑๔๓๘เมื่ออายุได้ ๓๙ ปี และพระราชทานที่ดินแถบมณฑลซานซีเป็นที่มั่น 

        การครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้จูเวินมาก เขาจึงวางแผนฆ่าหลี่จินหวางแต่ไม่ประสพผลสำเร็จ ทำให้สองทหารเสือต่างไม่มองหน้ากันตั้งแต่บัดนั้น

         เมื่อหลี่จินหวางทราบว่าฮ่องเต้ทรงยกทัพมาปราบตน ด้วยถูกยุยงจากขุนนางผู้ใหญ่คือ เทียนหลิงมู่ขันทีผู้มีอำนาจและอิทธิพลในราชสำนัก และจูเวินร่วมมือกันกล่าวหาว่า ตนคิดกบฏกำลังยกกองทัพมาจะตีเมืองหลวง ด้วยการแต่งกายปลอมเป็นทหารของหลี่จินหวาง ฮ่องเต้คิดว่าจริงจึงยกทัพออกไปต้าน แต่ถูกเทียนหลิงมู่และพวกขันทีหลอกพระองค์ขึ้นไปบนภูเขา แล้วปลงพระชนม์ฮ่องเต้บนนั้น หลี่จินหวางจึงยกกองทัพไปปราบ เข้าล้อมภูเขาจะจับเทียนหลิงมู่ฆ่าเสีย แต่เขาไหวตัวทัน หนีไปอยู่กับน้องชายข้าหลวงเมืองเสฉวน หลี่จินหวางจึงจัดการปลงพระศพฮ่องเต้ถังซีจง

        จึงเชิญองค์ชายหลี่เย่พระอนุชาเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่าอ๋องเต้จาวจงเมื่อพ.ศ. ๑๔๓๑ ใช้ปีรัชกาลในพ.ศ. ๑๔๓๒ ว่า หลงจี้ หลี่จินหวางจึงยกทัพกลับเมือง จูเวินอยากได้ตำแหน่งหวางหรืออ๋อง จึงคบคิดกับขุนนางกังฉินแอบปลอมรับสั่งให้ตนเป็นเหลียงอ๋อง เมื่อพ.ศ. ๑๔๔๔

        จูเวินมีความคิดที่จะเป็นฮ่องเต้ให้ได้ จึงได้ความคิดมาจากหวางเซี่ยนจือนายทหารเอก คือให้ฮ่องเต้ย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่เมืองเปี้ยนโจวของตน การภายหลังคิดกำจัดฮ่องเต้ก็จะเป็นของง่าย จูเวินเห็นด้วยจึงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ฉางอาน กราบทูลเรื่องที่จะสร้างพระราชวังใหม่ที่เปี้ยนโจว พระองค์ทรงเห็นด้วย จูเวินจึงสร้างพระราชวังเสร็จแล้วกราบทูลเชิญเสด็จ ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เปี้ยนโจว ซึ่งหลี่จินหวางไม่ทราบในเรื่องนี้ จูเวินปลงพระชนม์ฮ่องเต้จาวจงแล้วเอาโอรสของพระองค์ คือองค์ชายหลี่จวี้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หุ่นเมื่อพ.ศ. ๑๔๔๗ แล้วบังคับให้พระองค์สละราชสมบัติ ยกตนขึ้นเป็นฮ่องเต้เหลียงไท่จู่ เมื่อ พ.ศ. ๑๔๕๐

        หลี่จินหวางเมื่อทราบความดังนั้น ตนไม่ยอมขึ้นกับฮ่องเต้เหลียงไท่จู่ แต่ประกาศเป็นอาณาจักรจิ้นบริเวณมณฑลซานซี สถาปนาตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินจิ้น แล้วยกทัพใหญ่ไปพิชิตเมืองเปี้ยนโจว เพื่อกอบกู้ราชวงศ์ถังต่อไป ในฐานะที่ตนเป็นเชื้อพระวงศ์แซ่หลี่ แห่งราชวงศ์ถัง   ฮ่องเต้เหลียงไท่จู่โปรดฯให้หวางเซี่ยนจือเป็นแม่ทัพใหญ่ ด้วยจำนวนพล หนึ่งแสน พร้อมกับองค์ชายจูอิ้วกุ้ยโอรสองค์โตกำกับทัพไปด้วย โดยยกไปประจันหน้ากับทัพของหลี่จินหวางที่ตำบลเกยปอซาน  หวางเซี่ยนจือเปิดฉากรบกับทัพของหลี่จินหวาง ปรากฏว่าเขาได้ฆ่านายทหารเอกของหลี่จินหวางไปหลายคน โดยเฉพาะบุตรบุญธรรมและบุตรของหลี่จินหวางตายไป ๖ คน ทำให้หลี่จินหวางเสียใจมาก เมื่อเข้าสู้รบกับหวางเซี่ยนจือหลายครั้ง และทุกครั้งกลับแพ้ยับเยิน

        วันหนึ่งหวางเซี่ยนจือให้หวางเซี่ยนหลงน้องชาย ออกรบกับหลี่จินหวางด้วยอายุกว่าแปดสิบปีแล้ว จวนเจียนจะเสียทีแก่หวางเซี่ยนหลง ตนจึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง ขอให้หลี่ซุนเฮ้าช่วยด้วย วิญญาณของหลี่ซุนเฮ้าจึงปรากฏ ตะเพิดหวางเซี่ยนหลง จนเขาตกใจ พลัดตกจากหลังม้า โลหิตไหลออกมาทางปากจมูกสิ้นใจในสนามรบ ทำให้บรรดาทหารกองทัพเมืองเปี้ยนโจวกลัวกันมาก

        ฝ่ายหวางเซี่ยนจือตั้งแต่น้องชาย ถูกผีหลี่ซุนเฮ้าเข้าสิงจนตายแล้ว ตนขยาดไม่ออกรบหลายวัน แต่ก็แข็งใจออกไปท้าหลี่จินหวางรบ หวางเซี่ยนจือฆ่านายทหารเอกของหลี่จินหวางจนหมดสิ้น เขาไล่ฟันทหารหลี่จินหวางไปจนถึงหน้าค่าย ข้างหลี่จินหวางซึ่งแม่นธนูจึงยิงถูกหวางเซี่ยนจือ พวกทหารรีบพากลับเข้าค่ายได้

        หลี่จินหวางได้นายทหารฝีมือดีคนหนึ่งชื่อ กอซือกี่ ได้เข้ารบกับหวางเซี่ยนจือกว่าสามร้อยเพลงทั้งวัน จนพลบค่ำจึงหยุดรบ ด้วยความชำนาญในการรบมามาก หวางเซี่ยนจือจึงวางแผนฆ่ากอซือกี่จนสำเร็จ ทำให้หลี่จินหวางเสียใจมาก กระอักโลหิตออกมา สิ้นพระชนม์ในค่ายนั่นเอง ด้วยอายุ  ๖๒ พรรษา เมื่อพ.ศ. ๑๔๕๑ ทางกองทัพจึงแต่งตั้งหลี่ลู่หวางโอรสหลี่จินหวางเป็นแม่ทัพแทน จัดการนำพระศพไปฝังตามประเพณี 

        ส่วนกองทัพยกกลับเมือง แล้วสถาปนาหลี่ฉุนซวี่เป็นพระเจ้าหลี่จินหวางในพ.ศ. ๑๔๕๑ จัดยกทัพไปปราบราชวงศ์เหลียงจนล่มสลายในปีพ.ศ.๑๔๖๖ แล้วสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้ถังจวงจง ย้ายเมืองหลวงไปลั่วหยาง ในปีพ.ศ. ๑๔๖๙ จนถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยพวกขุนนางผู้ใหญ่กบฏ หลี่ซื่อเอวี๋ยนโอรสบุญธรรมจึงขึ้นครองราชย์ ต่อจากนั้นถึงฮ่องเต่หมิ่นและฮ่องเต่มั่วตี้ สือจิงถัง石敬瑭 ราชบุตรเลี้ยงของฮ่องเต้หลี่ฉุนซวี่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกคีตันแห่งราวงศ์เหลียว ให้สถาปนาเป็นฮ่องเต้แห่งอาณาจักรจิ้น ราชวงศ์ถังครั้งหลังซึ่งสืบทอดมาจากหลี่จินหวางก็ล่มสลาย



                     ฮ่องเต้ราชวงศ์ถังครั้งหลัง


เจวียงจง ( หลี่ฉุนซวี่李存勖 ) พ.ศ. ๑๔๖๖- ๑๔๖๙ ใช้ปีถงกวง

หมิงจง ( หลี่ซื่อเอวี๋ยนหรือหลี่ตั่น 李嗣源, 李亶) พ.ศ. ๑๔๖๙ – ๑๔๗๖

                          ใช้ปีเทียนเฉิง  พ.ศ.  ๑๔๖๙ - ๑๔๗๓

                           ใช้ปีเฉิงซิง    พ.ศ.  ๑๔๗๓ – ๑๔๗๖

หมิ่นจง ( หลี่จงโฮ่ว 李從厚)  พ.ศ. ๑๔๗๖ – ๑๔๗๗ ใช้ปีอิงสุน

มั่วตี้ ( หลี่ฉงเคอ 李從珂)   พ.ศ. ๑๔๗๗ – ๑๔๗๙ ใช้ปีชิงไท่



Credits : Somboon Kantakian

1 ความคิดเห็น :