หลี่โลเชีย



เทพเจ้าหลี่โลเชีย หรือ ลิโลเฉีย  หรือ เหนอจา    哪吒      หรือ นาจา หรือภาษาญี่ปุ่นว่า  นาตากุ  หรือ นาตะ  หรือ Ne Zha หรือ Na Zha  หรือ หลี่เหนอจา หรือ หลี่โหน( โน๋ )จา ฝ่ายลัทธิเต๋าเรียกชื่อเป็นทางการว่า  จงตันเอวี๋ยนโซ่ว หรือ เหนอจาเซียนโส่ว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี เพราะตามศาลเจ้าจีนจะวางเทพเจ้าองค์นี้ไว้ที่โต๊ะบูชาทีกงตรงส่วนหน้าสุด  เป็นรูปเด็กถือทวนและห่วงกำไลทองยืนบนวงล้อไฟและวงล้อลม แต่บางรูปจะไม่เห็นวงล้อลม

        หลี่โลเชียถือกำเนิดตามลัทธิเต๋า วันที่   ๙  ค่ำ เดือน ๙       ในช่วงสมัยพระเจ้าโจ้วหวาง หรือ ตี้ซิน หรือ ติวอ๋อง  แห่งราชวงศ์ซังองค์ที่ ๓๐ ประมาณกลางค่อนไปทางปลายรัชกาลในช่วงที่พระองค์ทรงมีพระมเหสีใหม่คือพระนางต๋าจี่  ที่บ้านเมืองกำลังเข้ายุคเข็ญ  บิดาชื่อ  หลี่จิ้ง  李靖  หรือ ลิเจ้ง  รับราชการเป็นนายทหาร นายด่าน หรือผู้บังคับบัญชาป้อมเฉินตงกวน แห่งพระเจ้าโจ้วหวาง เมืองหลวงเฉาเกอ  มารดาชื่อ  นางอินซื่อฮูหยิน  殷氏   เข้าใจว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ราชสกุลแซ่อินหรือแซ่จีแห่งราชวงศ์ซัง  บุตรชายคนโต ชื่อ  จินจา หรือ กิมเชีย หรือ กิมเฉีย  金吒   บุตรชายคนรอง  ชื่อ  มู่จา  หรือ บกเชีย  หรือ      บกเฉีย   木吒

        หลี่จิ้งและครอบครัวพำนักอยู่ภายในป้อมแห่งนี้  ต่อมาภรรยาได้ตั้งครรภ์ แต่เมื่อถึงกำหนดคลอด  นางมิได้เจ็บครรภ์คลอดเหมือนบุคคลทั่วไป นางต้องอุ้มท้องอยู่ถึง  ๓ ปี ๖ เดือน  ข้างหลี่จิ้งสามีมีความวิตกกังวล  แล้วชี้ไปที่ครรภ์ภรรยาพร้อมกับกล่าวว่าเด็กคนนี้คลอดออกมาคงเป็นปีศาจกระมัง  นางได้ยินดังนั้นก็ไม่สบายใจ   ในคืนวันนั้น  นางฝันว่ามีนักพรตองค์หนึ่งเดินเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับบอกให้นางมารับบุตรของนางไปเถิด  นางตกใจตื่นเล่าให้สามีฟัง  พร้อมกับเจ็บครรภ์คลอดออกมาเป็นก้อนเนื้อกระดุกกระดิกได้  เมื่อหลี่จิ้งทราบ  เขาเสียใจมากจึงถือกระบี่เข้าไปในห้อง  เห็นรัศมีพุ่งออกมาจากก้อนเนื้อแพรวพราว  ภายในห้องกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว  เขาจึงเอากระบี่แหวะที่ก้อนเนื้อดู ปรากฏมีเด็กทารกร้องไห้จ้าผิวขาวนวลเป็นยองไย  ที่ข้อมือมีกำไลทองคำรัศมีเจิดจ้าติดมากับตัวเด็ก   หลี่จิ้งมีความยินดีมากจึงตรงเข้าอุ้มเด็กน้อยเอาไปให้ภรรยา  เขาคิดว่าเด็กคนนี้เทพเจ้าจากสวรรค์ประทานมาให้เขาเป็นแน่

        ครั้นรุ่งเช้ามีนักพรตองค์หนึ่งมาขอเยี่ยมบุตร  บอกว่าชื่อ ไท่อี่เจินเหริน หรือ ไท่อิดจินหยิน  อาศัยอยู่ที่ถ้ำ      ภูเขาเทียนซาน  พร้อมทั้งทำนายว่า  เด็กคนนี้คลอดในเวลาที่ไม่ดี  จะต้องเป็นทหารทำศึกถึง  ๑๗๐๐ ครั้ง  นักพรตจึงขอเด็กเป็นลูกศิษย์ของตน  ข้างหลี่จิ้งบอกว่าตนมีบุตรด้วยกันสามคน  คือ คนหัวปีชื่อ จินจา ไปเป็นลูกศิษย์ของเหวินซู ก่วงฝ่าเทียนจุนหรือกงฮวดเทียนจุน ที่ถ้ำหันเซียวตง  ภูเขาอู่หลงซาน  คนรองชื่อ มู่จา เป็นศิษย์ของเผาเหียนจินหยิน อยู่ที่ถ้ำแปะเฮาะตง เขากิ่วกงซาน  หลี่จิ้งจึงยกบุตรคนที่สามให้ไท่อี่เจินเหริน  นักพรตตั้งชื่อให้ว่า  เหนอจา หรือ โลเชีย

        ขณะนั้นเมืองหลวงกำลังเกิดศึกสงคราม บรรดาหัวเมืองต่างๆกระด้างกระเดื่องไม่ยอมขึ้นกับเมืองเฉาเกอ  หลี่จิ้งจึงต้องฝึกทหารเตรียมพร้อม  จนโลเชียอายุได้  ๗ ขวบ สูงประมาณสามศอก   ขออนุญาตมารดาออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าน  ส่วนบิดาไปฝึกทหารยังไม่กลับ มารดาจึงอนุญาตให้ออกไปกับพี่เลี้ยง  ตนกับพี่เลี้ยงจึงออกจากประตูด่าน  ขณะนั้นเป็นช่วงฤดูร้อนในเดือนเจ็ด  โลเชียเห็นแม่น้ำสายใหญ่น้ำใสน่าเล่นและอากาศร้อนด้วย  จึงกระโจนลงไปในน้ำ  แม่น้ำแห่งนี้ไหลออกสู่ทะเล  โลเชียลอยตามน้ำเล่นไปเรื่อย  พร้อมกับเอาผ้าแพรหลินสีแดงฟาดลงไปบนพื้นน้ำ  ทำให้พื้นน้ำมองดูเป็นสีแดงไปหมดเกิดคลื่นขนาดใหญ่น้ำทะเลปั่นป่วน  กระเทือนลงไปถึงวังพญามังกร  คือ อ้าวก่วงหวาง ผู้ดูแลท้องทะเลตะวันออกหรือตงไห่   พระองค์จึงให้มังกรยักษ์ ชื่อ  หลี่เกิ้น  เทพเจ้าสมุทรผู้มีหน้าที่คอยตรวจตราปากอ่าวทะเล  ข้างหลี่เกิ้นเมื่อขึ้นไปเห็นเด็กกำลังเล่นน้ำทะเลอย่างสนุกสนาน  โลเชียเห็นยักษ์หน้าตาร่างกายน่าเกลียดจึงหัวเราะ  หลี่เกิ้นโกรธจึงปะทะคารมแล้วเกิดการสู้รบกัน  หลี่เกิ้นเอาขวานฟันโลเชีย  ไม่ถูกจึงปลดห่วงกำไลขว้างไปถูกศีรษะหลี่เกิ้นตาย แล้วเอากำไลติดเลือดมาล้าง จนทำให้น้ำทะเลเป็นคลื่นยักษ์         กระเทือนลงไปถึงวังพญามังกรอ้าวก่วงหวาง  พวกทหารจึงรายงานให้อ้าวก่วงหวางทราบว่าหลี่เกิ้นถูกฆ่าตายแล้ว  ก็ตกใจ เพราะหลี่เกิ้นได้รับแต่งตั้งจากสวรรค์ให้เป็นผู้ตรวจตราบริเวณปากอ่าวและชายฝั่งทะเลทิศตะวันออก ใครจะมาฆ่าไม่ได้  อ้าวก่วงหวางจึงเตรียมกองทหารขึ้นไปปราบโลเชีย  ข้างอ๋าวปิ่งโอรสองค์ที่สามของอ้าวก่วงหวางเห็นบิดากำลังจัดทัพ  เมื่อได้ทราบความจึงอาสาขึ้นไปปราบเด็กน้อยเอง  อ๋าวปิ่งจึงโผล่ขึ้นเหนือน้ำเจอโลเชีย  เกิดการโต้เถียงกันแล้วสู้รบกัน

        โลเชียเอาแพรหลินโยนขึ้นไปบนอากาศ  เกิดสีแดงดั่งเพลิงพุ่งเข้าไปมัดคออ๋าวปิ่ง  แล้วกระโดดขึ้นไปขี่คออ๋าวปิ่ง  เอาห่วงกำไลทุบที่หน้าผากศีรษะแตกตาย  แล้วดึงเอ็นมังกรร่างอ๋าวปิ่งออกมาจะเอาไปให้บิดารัดเสื้อเกราะ  จึงขึ้นตลิ่งพากันกลับด่านเข้าบ้าน  ฝ่ายหลี่จิ้งเสร็จจากการฝึกทหารจึงกลับบ้าน  รำพึงว่า  กษัตริย์ไม่ทรงตั้งอยู่ในยุติธรรม ราษฎรได้รับความเดือดร้อน  ขุนนางไม่ได้รับความยุติธรรม  หัวเมืองต่างแยกตัวออกไปเป็นกบฏยากที่จะสงบได้

        ฝ่ายพญามังกรอ้าวก่วงหวางรู้ว่าโลเชียฆ่าบุตรของตนจึงโกรธมาก  รีบไปหาหลี่จิ้งผู้เป็นเพื่อนกัน  พญามังกรจึงแปลงกายเป็นคนแล้วเข้าด่านเฉินตงกวนพบหลี่จิ้ง  แจ้งข้อหาว่าโลเชียบุตรของตนฆ่าบุตรของเขาและเทพเจ้าหลี่เกิ้นผู้รักษาปากอ่าวและชายฝั่งทะเลตะวันออก  ส่วนบุตรชายของตนมีหน้าที่ในการกำกับน้ำค้างและฝนให้ตกต้องตามฤดูกาลตามเทวบัญชา  ข้างหลี่จิ้งไม่เชื่อบอกว่าบุตรตนไม่เคยออกไปนอกประตูด่านเลย   จึงให้ทหารไปตามโลเชียมา  ข้างโลเชียออกมาบอกว่าตนออกไปเล่นน้ำทะเลแล้วฆ่าสองคนนั้นตาย  ยังได้เอาเอ็นมาฝากบิดาด้วย  พญามังกรแค้นมากผลุนผลันกลับไปจะไปฟ้องหยกอ๋องส่องเต่ หรือ จิ่วหวางไท่ตี้  ขณะนั้นประตูสวรรค์ยังไม่เปิด

        ข้างโลเชียจึงรีบไปหาอาจารย์ที่เขาเทียนซานเล่าความให้อาจารย์ฟัง  ไท่อี่เจินเหรินจึงบอกเคล็ดวิธีการแก้ปัญหาให้  โลเชียจึงรีบไปหลบอยู่ที่ภูเขาข้างปากทางประตูสวรรค์   เมื่ออ้าวก่วงหวางมาถึง โลเชียจึงขอร้องอย่าได้เอาเรื่องนี้ไปฟ้องหยกอ๋องส่องเต่เลย   แค่พญามังกรไม่ยอม  โลเชียจึงกระโดดเข้าเหยียบอกฉีกเสื้อใต้รักแร้ดึงเกล็ดออก  จนอ้าวก่วงหวางหมดฤทธิ์ยอมแพ้  โลเชียจึงให้เขาแปลงเป็นลูกงูเขียวแล้วรีบกลับไปหาบิดาที่ด่านเฉินตงกวน  บอกว่าตนไปตามอ้าวก่วงหวางมาจากประตูทางขึ้นสวรรค์  บิดาไม่เชื่อว่าบุตรของตนจะมีฤทธิ์ขนาดนั้นหาว่าเอาความเท็จมาพูดกับบิดา  โลเชียจึงเอางูเขียวทิ้งลงพื้นกลายร่างเป็นอ้าวก่วงหวาง         ข้างหลี่จิ้งตกใจมากถามอ้าวก่วงหวาง  เขาก็บอกตามความจริง และทำให้เขาอับอายนัก  ตนจะไปตามพญามังกรพี่น้องอีกสามทิศมาแก้แค้นโลเชียให้ได้   แล้วอ้าวก่วงหวางก็หายตัวไปตามอ้าว

หมิงหวาง(ชุน)หรือ เป๋ยไห่หลงหวางพญามังกรทะเลทิศเหนือ ไปหาอ้าวฉินหวาง(ชิน)หรือ หนานไห่หลงหวางพญามังกรทะเลทิศใต้และไปหาอ้าวจุนหวาง(หรุน,จี) ซีไห่หลงหวางพญามังกรทะเลตะวันตก ทั้งสี่คนเป็นพี่น้องกัน

        วันหนึ่งโลเชียขึ้นไปเที่ยวเล่นบนป้อมกำแพงเมือง  แลไปเห็นธนูคันหนึ่งชื่อ เคียนกุน  มีดอกศรสามดอกชื่อ จินเทียนอี้  ธนูและดอกศรนี้ไม่มีใครสามารถยกขึ้นมาโน้มยิงได้  เป็นของเก่าแก่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าหวงตี้  ข้างโลเชียเห็นดังนั้นจึงระลึกถึงคำสอนของอาจารย์ว่า ต่อไปตนจะต้องเป็นทหาร  แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เรียนเรื่องการใช้อาวุธ  จึงอยากทดลองยิงธนูดู  จึงตรงเข้าไปหยิบคันธนูพร้อมลูกศรแล้วพาดสายโก่งธนูปล่อยลูกศรออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้  ขณะที่ลูกศรออกจากคันธนูปรากฏเป็นรัศมีแสงสีรุ้งพร้อมเสียงดังกัมปนาท  ลูกศรพุ่งไปในอากาศถึงภูเขาเกาเล่าซานถูกเผงอุนตายคาที่  เผงอุนเป็นลูกศิษย์ของนางเจี่ยกี๋ซึ่งพำนักอยู่ที่ถ้ำแปะกูด  อาจารย์ให้ไปเก็บสมุนไพร เพื่อนจึงรีบไปแจ้งอาจารย์  เมื่อนางเห็นลูกศรก็รู้ว่าเป็นของป้อมด่านเฉินตงกวนของ

หลี่จิ้ง  นางโกรธมากจึงตรงไปหาหลี่จิ้งที่ด่าน พร้อมกับต่อว่าต่อขานกันว่านางเคยช่วยเหลือให้เป็นนายด่านแล้วเหตุใดจึงมาฆ่าศิษย์ของตน  นางไปถึงไม่พูดพร่ำทำเพลงตรงเข้าไปใช้เชือกวิเศษมัดหลี่จิ้งพาไปยังเขาเกาเล่าซาน  แจ้งข้อหายิงคนตายพร้อมกับเอาลูกศรมาให้ดู   หลี่จิ้งบอกเขาไม่ได้ฆ่า   ขอให้ทุเลาก่อน  ตนจะไปสืบเรื่องให้ได้ว่าใครเป็นคนทำ  เพราะคันธนูและลูกศรนี้ไม่มีใครสามารถที่จะยกขึ้นได้มานานแล้ว   ตนจึงรีบไปด่านตรงไปหาภรรยาเล่าความให้ฟัง คงมีแต่โลเชียเท่านั้นที่ทำได้  หลี่จิ้งจึงตามโลเชียมาถาม  โลเชียบอกว่าตนเป็นคนยิงเองเพราะอยากฝึกทหาร  หลี่จิ้งโกรธมากหาว่าฆ่าคนตายหลายคนแล้ว  โลเชียจึงให้บิดาพาตนไปหานางเจี่ยกี๋ที่ภูเขาเกาเล่าซาน

        เมื่อไปถึงปากถ้ำให้โลเชียรอหน้าถ้ำตนจึงเข้าไปหานางเจี่ยกี๋  นางจึงให้ซีอุนออกไปตามโลเชียเข้ามา  ข้างโลเชียคิดว่าซีอุนมาจับจึงเอาห่วงทองตีตาย  นางเจี่ยกี๋ออกมาเห็นด้วยความโกรธจึงด่าว่าโลเชีย  ข้างโลเชียจึงขว้างกำไลห่วงทองคำไปนางก็รับไว้ได้  แล้วขว้างแพรหลินไปนางก็รับไว้ได้อีก  โลเชียจึงรีบหนีไปหาอาจารย์ไท่อี่เจินเหรินพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น  นางเจี่ยกี๋ตามไปถึงถ้ำอาจารย์ไท่อี่เจินเหริน  ส่วนโลเชียหนีเข้าไปซ่อนเสียในถ้ำ  ไท่อี่เจินเหรินบอกนางเจี่ยกี๋ว่าหลี่โลเชียนั้นเทพเจ้าหยกอ๋องส่องเต่ให้มาเกิด  ด้วยเป็นผู้มีบุญ  ถ้าหากนางอยากได้ตัวเขา  ขอให้ไปแจ้งแก่เอวียนซื่อเทียนจุนพระอาจารย์ใหญ่ก่อน   นางไม่ยอม  ไท่อี่เจินเหรินจึงบอกว่า  เดิม  หลี่โลเชีย  เป็น เหลงจูจื่อ  คือ เป็นตะเกียงตามไว้หน้าแท่นบูชาเทพเจ้า  บางตำนานว่าเดิมชื่อ ต้าหลัวเป็นพนักงานในวังของหยกอ่องส่องเต่  พระองค์ให้มาเกิดเพื่อช่วยเจียงจื่อหยาทำสงครามระหว่างสกุลแซ่จีคือพระเจ้าเหวินหวางและพระเจ้าโจวอู่หวางให้เจริญรุ่งเรืองกับราชวงศ์ซังที่กำลังดับสูญ  การที่หลี่โลเชียฆ่าคนตายนั้นเป็นเพราะกรรมแต่ชาติปางก่อน

        ฝ่ายนางเจี่ยกี๋ด้วยความโกรธไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้นพร้อมกับชักกระบี่ฟันไท่อี่เจินเหรินซึ่งตนต้องป้องกันตัว  แล้วลาออกจากศีลชั่วคราวเข้าสู้รบกับนางได้หลายเพลง  แล้วร่ายมนตร์เอาปะรำครอบตัวนาง  พร้อมร้องบอกให้โลเชียรีบกลับบ้านไปช่วยบิดามารดา  เพราะพญามังกรทั้งสี่ทิศไปฟ้องหยกอ๋องส่องเต่กลับกันมาแล้ว

        เมื่อถึงด่านเข้าไปในบ้านได้ยินเสียงคนกำลังเถียงกัน  คือ พญามังกรทั้งสี่คนกำลังเถียงกับบิดาตน  โลเชียเห็นดังนั้นจึงร้องไปว่า  เขาได้ฆ่า หลี่เกิ้นและอ๋าวปิ่งจริง  ขอให้มาว่ากับตน บิดาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย  ตนจะชดใช้ชีวิตของตนให้  ข้างพญามังกรทั้งสี่ยอมรับคำโลเชีย  ข้างโลเชียจึงเอากระบี่ผ่าท้องลากลำไส้ออกมา  เอากระบี่เลาะเอาเนื้อเหลือแต่กระดูกมากองไว้จนตัวตาย   พญามังกรจึงไปกราบทูลหยกอ๋องส่องเต่ตามที่ได้เห็น  ข้างมารดาเสียใจมากจึงนำกระดูกไปฝังตามประเพณี  ฝ่ายดวงวิญญาณหลี่โลเชียไปหาอาจารย์ที่ถ้ำ  ข้างอาจารย์บอกให้ไปเข้าฝันมารดาขอให้สร้างศาลเจ้าให้ตนได้อาศัย  ตนจึงเข้าฝันมารดา  ข้างมารดาจึงเล่าความฝันให้หลี่จิ้งฟังทำให้เขาโกรธขึ้นมาอีก  มารดาจึงแอบให้คนสนิทไปสร้างศาลเจ้าที่เนินเขาซุยพินซานไม่ห่างจากด่านเฉินตงกวน  พร้อมกับปั้นรูปเหมือนหลี่โลเชียไว้ด้วย  ชาวบ้านจึงพากันไปกราบไหว้บนบานว่าศักดิ์สิทธิ์นัก

        วันหนึ่งหลี่จิ้งเสร็จจากภาระการฝึกทหารจึงเดินผ่านไปทางเนินเขาซุยพินซานได้ยินเสียงเล่าลือถึงความศักดิ์สิทธิ์จึงขึ้นไปดูเห็นรูปโลเชีย  ด้วยความโกรธจึงเอากระบี่ฟันรูปปั้นแตกหักพร้อมสั่งให้ทหารรื้อศาลเจ้าเสีย พร้อมกับบอกชาวบ้านว่าไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไรหรอก  ที่เขาทำเช่นนี้เกรงว่าจะได้ยินไปถึงพระกรรณพระเจ้าโจ้วหวางหาว่าเขาหลอกลวงชาวบ้าน ตนก็จะมีความผิด  ขณะนั้นวิญญาณโลเชียไปเที่ยวเล่น  เมื่อมาถึงศาลเจ้าปีศาจกุยป๋วยวิญญาณเฝ้าศาลเจ้าบอกว่าบิดาของตนเป็นคนทำ  ในช่วงที่ชาวบ้านมากราบไหว้นั้นเป็นเวลาเกือบปีจึงทำให้มีรูปเหมือนเงาพูดได้แล้ว  ตนจึงไปหาอาจารย์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น  ข้างอาจารย์บอกว่าโลเชียได้สละเลือดเนื้อและกระดูกทดแทนคุณบิดาไปแล้วจึงไม่น่าทำถึงขนาดนั้น

        ไท่อี่เจินเหรินจึงให้กิมแฮท่องจื่อไปเก็บรากเหง้าบัวดอกบัวใบบัวมาผูกเป็นรูปร่างคนโดยใช้เง่าบัวเป็นแขนขาลำตัว เอาดอกบัวเป็นเนื้อ เอาใบบัวห่อทำเป็นหนังและเสื้อผ้า  แล้วเอายาวิเศษใส่นั่งบริกรรมมนตร์  จนเกิดเสียงฟ้าร้องดังลั่นเห็นเด็กกระโดดออกมา  ใบหน้าขาว ปากแดง  ดวงตามีประกายดั่งดวงดาว  เข้าไปคำนับไท่อี่เจินเหริน  อาจารย์บอกว่าที่หลี่จิ้งทำลายรูปนั้นเพราะกลัวความผิดแต่เขาก็ยังสงสารอยู่  ข้างโลเชียน้อยใจมีอารมณ์แค้น  อาจารย์พาไปสวนดอกไม้  เอาทวนชื่อ  ฮวนเจียนเชีย  แล้วสอนเพลงอาวุธให้  เอาจักรสองอันมาให้  เป็นจักรไฟและจักรลมพร้อมทั้งสอนวิชากำกับจักรให้ด้วย  แล้วเอาแพรหลินและห่วงกำไลทองใส่ถุงหนังเสือปลาให้  โลเชียเหาะไปด่านเฉินตงกวนท้าหลี่จิ้งรบ  ข้างบิดาแต่งตัวใส่เสื้อเกราะออกไปบอกว่าตายไปแล้วยังมารบกวนอีก  โลเชียบอกว่าตนได้แล่เนื้อเถือหนังและกระดูกของตนให้ไปแล้วจึงไม่มีบุญคุณต่อกัน  หลี่จิ้งสู้ไม่ได้จึงหนีไป  โลเชียไล่ตาม  บกเชียเห็นจึงเข้าไปต่อว่าแล้วรบกันถูกอาวุธของโลเชีย

        โลเชียไล่ตามบิดาไปถึงหน้าถ้ำหุนเซียวตง  อาจารย์กงฮวดเทียนจุนออกมาขวางให้หลี่จิ้งเข้าไปในถ้ำ  ข้างโลเชียถามหาบิดา  อาจารย์บอกอยู่ในถ้ำ  โลเชียตามอาจารย์เข้าไปในถ้ำจะเข้าทำร้ายบิดา เทียนจุนจึงเอาปลอกทองวิเศษโยนไปล็อกแขนขาทั้งสี่ข้างจนกระดิกตัวไม่ได้  แล้วให้กิมเชียตีด้วยไม้จนร้องลั่น  ข้างไท่อี่เจินเหรินเดินเข้าไปหาเทียนจุนทำมองไม่เห็นโลเชีย  เพื่อให้เทียนจุนปราบพยศโลเชีย  เทียนจุนให้บกเชียแก้มัดปลอกวิเศษปล่อยโลเชีย  แล้วพาไปคำนับอาจารย์ทั้งสอง  แต่โลเชียยังแค้นบิดานักซึ่งอาจารย์ทั้งสองก็รู้  แล้วบอกให้หลี่จิ้งกลับไปด่าน  พร้อมกับให้โลเชียไปเฝ้าถ้ำ

        หลี่จิ้งจึงออกไปก่อน  ครั้นเห็นโลเชียตามมาจะเอาชีวิต  ตนจึงรีบหนีไปที่ริมภูเขาพบหรันเติงเต้าเหรินหรือเหยียนเตงโตหยิน          โลเชียเห็นหลี่จิ้งยืนแอบหลังหรันเติงเต้าเหรินคิดว่าคงเหมือนเทียนจุนจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้  โลเชียจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้หรันเติงเต้าเหรินฟัง  อาจารย์จึงว่าเรื่องนี้ได้ตกลงกันแล้วที่ถ้ำของเทียนจุน  ทำไมต้องมาตามล่ากันอีก  แต่โลเชียไม่ยอม  หลี่จิ้งไม่กล้ารบกับโลเชีย  นักพรตจึงร่ายมนตร์ตบกระหม่อมหลี่จิ้งให้กล้าออกรบได้เพลงหนึ่ง โลเชียก็อ่อนกำลังลงคิดตีนักพรตจึงเอาทวนแทงนักพรต  ข้างนักพรตเอาถะเจดีย์เก้าชั้นโยนออกไปครอบโลเชีย  แล้วทำให้เกิดไฟลุกท่วมในนั้น  โลเชียร้องขอชีวิตบอกว่าตนจะนับถือบิดาแล้ว  นักพรตจึงปล่อยออกมา  แล้วให้เรียกบิดาเขาไม่เรียก  นักพรตขู่จะเอาถะเจดีย์ครอบอีก  ด้วยความกลัวแต่ใจยังคิดแค้นอยู่จึงจำต้องเรียกบิดา  หรันเติงเต้าเหรินจึงมอบถะเจดีย์วิเศษให้หลี่จิ้งพร้อมสอนวิชากำกับให้ด้วย  โลเชียเห็นก็กลัวรีบไปภูเขาเทียนเอวียนซาน  แล้วหรันเติงเต้าเหรินจึงบอกให้หลี่จิ้งอย่าได้เห็นแก่ยศศักดิ์กษัตริย์ไม่อยู่ในความยุติธรรม  บ้านเมืองจะเกิดศึก  ขอให้หลี่จิ้งซุ่มซ่อนตัวเพื่อช่วยโจวเหวินหวาง  หลี่จิ้งไปถึงด่านเฉินตงกวนจึงทำหนังสือลาออกจากราชการ

        วันหนึ่งไท่อี่เจินเหรินทราบด้วยฌานว่าครอบครัวแซ่หวง(แซ่อึ้ง)กำลังได้รับอันตราย  จึงให้โลเชียไปช่วย  โลเชียไปถึงด่านซุนหุนกวนเข้าสู้รบกับนายด่านช่วยหวงเฟยหู่หรืออึ้งปวยฮอ บิดาและญาติจนพ้นภัย  แล้วเลยไปตีด่านกิจุ้ยกวนแตกให้ครอบครัวหวงเฟยหู่อพยพไปอยู่เมืองซีกีของพระเจ้าโจวอู่หวาง

        ฝ่ายเมืองเฉาเกอได้ให้นายพลจางกุ้ยฟางหรือเตียวกุยหองยกทัพไปตีเมืองซีกีมีพระเจ้าโจวอู่หวางซึ่งตั้งแข็งเมือง  มีเจียงจื่อหยาหรือเกียงจูแหย เป็นอัครมหาเสนาบดีทั้งฝ่ายกลาโหมและพลเรือน  ไท่อี่เจินเหรินจึงสั่งให้ลูกศิษย์คือโลเชียไปช่วยเจียงจื่อหยา  โลเชียเข้ารบชนะเตียวกุยหอง  ข้างเจียงจื่อหยาเกรงว่าเมืองเฉาเกอจะให้แม่ทัพใหญ่คือ เหวินจ้งหรือเหวินไท่ซือหรือบุนไท่สือหรือเหวินจ้งยกทัพมา  ตนจึงไปหาอาจารย์ใหญ่คือ เอวียนซื่อเทียนจุนซึ่งพำนักอยู่ที่ภูเขาคุนหลุน  จึงมอบภาระให้หลี่โลเชียคุมค่ายทหารแทน

        เอวียนซื่อเทียนจุนจึงมอบบัญชีรายชื่อขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนที่จะต้องล้มตายกันในการศึกครั้งนี้ทั้งสองเมือง  คือ ห้องสินไต้ หรือ เฟิงเสินเอี่ยนอี้ หรือ เฟิงเสินปัง  โดยเอาไปแขวนไว้ที่ภูเขาจีซาน  มอบให้เซ่งฮกสินเป็นผู้รักษา  เมื่อผู้มีรายชื่อตายลง  ดวงวิญญาณก็จะลอยไปรวมอยู่ในเฟิงเสินปัง  เอวียนซื่อเทียนจวินยังได้มอบของวิเศษให้เจียงจื่อหยาด้วยคือ  ซูปุดเสียงเป็นพาหนะ  กระบองยาวหกศอกยี่สิบเอ็ดข้อปิดยันต์ข้อละสี่อันกับธงอันหนึ่ง

        กองทัพทั้งสองฝ่ายผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ

        ข้างกองทัพเฉาเกอให้หวางมอออกรบกับเจียงจื่อหยา โลเชียรบกับเอียวสงพลาดหวงเฟยหู่เข้าไปช่วย  เจียงจื่อหยาสู้ไม่ได้ กิมเชียเข้าไปช่วย จนชนะ  แล้วต่างพากันเข้าไปเมืองซีกี  กิมเชีย  โลเชียพี่น้องพบกันต่างดีใจ  ในสนามรบเตียวกุยหองให้เฟิงหลินหรือฮองหลิมออกรบกับกิมเชียถูกกิมเชียเอาทวนแทงตาย  ส่วนเตียวกุยหองเห็นว่าสู้ไม่ได้จึงฆ่าตัวตายในสนามรบ

        ฝ่ายอิหิมป้าสู้เจียงจื่อหยาไม่ได้จึงหนีไปทางภูเขาจิ่วหลงซานพบบกเชียต่างได้สู้รบกัน  ถูกบกเชียฆ่าตาย  อาจารย์บกเชียจึงให้ไปช่วยเจียงจื่อหยาที่เมืองซีกี  สามพี่น้องแซ่หลี่ได้พบกันต่างยินดี

        เจียงจื่อหยาจึงนำทหารพร้อมด้วยกิมเชียบกเชียนำเฟิงเสินปังไปแขวนที่ภูเขาปลูกโรงทำพิธีแล้วให้เทพเจ้าชื่อ เซ่งฮกสิน เอาวิญญาณผู้ตายในการศึกทั้งสองเมืองมาไว้ที่เฟิงเสินปัง

         เอียวเจี้ยน หรือ เอ้อหลางเซินเอี๋ยงเจียน หรือเอ้อหลางเซินเจินจุนมีใบหน้าขาว มีสามตา  มีเทพสุนัขสีดำชื่อ     เซี่ยวเตียนก่วน เป็นองครักษ์ อาวุธประจำกายคือ หอกสามแฉกเรียกว่า ซานเจียนเหลี่ยงเริ่นตาว ต่อมาได้ปราบปีศาจหกตน ภูตทั้งหกตนได้ยอมเป็นองครักษ์ของเอียวเจี้ยนเรียกว่า เหมยซานฉีเซิน

        เอียวเจี้ยนมีชีวิตอยู่ในสมัยรัชกาลพระเจ้าซังโจ้วหวางองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซัง ก่อน ค.ศ. ๑๖๐๐ -  ๑๐๒๘     เอียวเจี้ยน เป็นคนตระกูลแซ่เอี๋ยว ( เอียว หรือ เอี๋ยง )  ชื่อเดิมว่า เจี้ยน บางตำนานกล่าวว่าเขาเป็นหลานของเทพหยกอ๋องส่องเต่ เอียวเจี้ยนได้เข้าเรียนวิชาทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นกับอาจารย์อวี้เติ้งเจินเหริน แห่งสำนักถ้ำจินเซี่ย  ภูเขาอวี้เอวี๋ยน หรือ หยกจ๋วน หรือ เหมยซาน  เอียวเจี้ยนแต่งตัวเป็นนักพรต นุ่งกางเกงเหลือง ใส่เสื้อสีเปลือกไม้ สวมหมวกนักพรตเอวคาดไหมสีดำรองเท้าปอถัก อาจารย์ให้ไปช่วยพระเจ้าโจวอู่หวางในการสงครามครั้งนั้น  แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชุดนายพลขุนศึกแทน

        ส่วนการรบยังคงติดพันทั้งสองกองทัพ  ข้างพี่น้องแซ่หมัวหลี่สี่คนเป็นผู้รักษาด่านเกียเหมงกวน เหวินจ้งจึงมีคำสั่งให้ทั้งสี่คนพี่น้องยกกองทหารไปช่วยรบที่แนวหน้า คือ หมัวหลี่ชิงเป็นพี่ใหญ่ หมัวหลี่หุง หมัว

หลี่ไห่และหมัวหลี่โส่วน้องสุด  แต่ถูกหวงเทียนหัวฆ่าตายในสนามรบสามคน คนน้องถูกเอียวเจี้ยนฆ่าตาย

        เมื่อเหวินจ้งแม่ทัพใหญ่ฝ่ายพระเจ้าตี้ซินกลับจากไปปราบหัวเมืองอื่นที่เป็นกบฏ  จึงยกทัพไปตีเมืองซีกีด้วยตนเอง เหวินจ้งขี่กิเลน ใบหน้าแดง สวมเสื้อผ้าชุดสีแดง มีสามตา          เข้าสู้รบกับเจียงจื่อหยาๆพลาด  โลเชียเข้าไปช่วยถูกกระบองตกจากจักรไฟ  กิมเชียบกเชียจึงเข้าไปช่วยน้อง   กองทัพเจียงจื่อหยาแตกกลับเข้าค่าย

        ครั้นวันต่อมาเหวินจ้งรบกับเจียงจื่อหยา  กระบองของตนถูกเจียง

จื่อหยาตีหักสองท่อนก็เสียใจหนีเข้าค่าย   ข้างนายทหารปลอบใจว่า  “ประเพณีการรบพุ่งกัน เปรียบเหมือนสาดน้ำรดกัน แพ้แลชนะย่อมมีอยู่  ท่านอย่าเพ่อเสียใจ”

        ฝ่ายเจียงจื่อหยากำเริบใจที่ชนะ  จึงจัดทัพใหม่ ให้โลเชียกับหวงเทียนหัวเป็นทัพหน้า  ให้กิมเชียบกเชียเป็นทัพรอง          เข้าปล้นค่าย

เหวินจ้งซึ่งตนได้เสี่ยงทายดูก็รู้การณ์  จึงจัดทัพรับศึกการปล้นค่ายครั้งนี้  เมื่อทั้งสามคนเข้าตีค่าย  เหวินจ้งสู้ไม่ได้จึงหนีไปเขากีซาน

        ข้างอาจารย์นักพรตของเหวินจ้งซึ่งอาศัยอยู่ตามภูเขาแปดแห่ง  จำนวนสิบคนจึงมาช่วยเหวินจ้งจัดค่ายกลสิบค่ายแต่ละค่ายให้นักพรตแต่ละคนคุม  แล้วเชิญเจียงจื่อหยาเข้าไปดูว่าสามารถตีได้หรือไม่  ค่ายทั้งสิบคือ

๑.     เทียนจวดติ้น

๒.   ติเคียดติ้น

๓.   ฮองเหาติ้น

๔.   หันเปงติ้น

๕.   กิมก๋องติ้น

๖.     หองเฮาติ้น

๗.   เคียดเกาติ้น

๘.   เลาะหุนติ้น

๙.     อังแซติ้น

๑๐   อังจุยติ้น



        ข้างเจียงจื่อหยาได้นักพรตอาจารย์สิบคนมาช่วยเช่นกันโดยมอบให้หรันเติงเต้าเหรินเป็นแม่ทัพใหญ่  ได้เข้าไปตีค่ายกลแตก  ฝ่ายเตียวกงเบ๋งนายทหารถูกโจโปเอาอาวุธวิเศษไปสองอย่าง  ตนจึงไปหาน้องสาวร่วมท้องสามคนที่เกาะซานเซียนซู  เพื่อขอยืมอาวุธวิเศษมาสู้รบ  ข้างนางทั้งสามคือ เมิ่งปั๋วเหนียงเหนียง (นางหุนเสียว) กงเต๋อเหนียงเหนียง(นางเกงเสียว)และผางเฉอเหนียงเหนียง(นางเพกเสียว)   ซึ่งบำเพ็ญเพียรรักษาศีลอยู่ในถ้ำบนเกาะซานเซียน  อาจารย์เคยสั่งไว้ว่า เทพเจ้าได้ทำนายไว้แล้ว ห้ามเข้าไปมีส่วนร่วมทั้งหมดกับพระเจ้าโจ้วหวางแห่งเมืองเฉาเกอ  อีกประการหนึ่งรู้อยู่แล้วว่าเมืองซีกีเป็นที่เกิดของผู้มีบุญ  จึงไม่ควรไปรบพุ่ง แต่ในที่สุดน้องสาวขัดน้ำใจไม่ได้ จึงให้ยืมกรรไกรทองวิเศษไป

        ข้างเจียงจื่อหยาหาวิธีฆ่าเตียวกงเบ๋งตามคำแนะนำของนายทหารด้วยวิชาเสกคุณไสยผูกยนต์ ใช้เวลา ๒๑ วัน ฝ่ายเหวินจ้งทราบเรื่องจึงให้ทหารไปลักเอาดอกศรสามดอก  ที่จะใช้ทิ่มแทงหุ่นเตียวกงเบ๋ง        ซึ่ง

หรันเติงเต้าเหรินทราบด้วยฌาน จึงให้โลเชียไปบอกเจียงจื่อหยารู้ตัว  แต่โลเชียช้าไปดอกศรถูกขโมยไปเสียแล้ว  เอียวเจี้ยนจึงคิดด้วยสติปัญญาคือ ปลอมเป็นเหวินจ้งเอาดอกศรกลับมาได้  ประกอบพิธีต่อจนเตียวกงเบ๋งถึงแก่ชีวิต  ฝ่ายกงซินป้าจึงไปแจ้งแก่น้องสาวทั้งสามของเตียวกงเบ๋ง  พวกนางจึงเดินทางไปค่ายเหวินจ้ง  อาสาเข้ารบกับฝ่าย เจียงจื่อหยา  นางใช้อาวุธถังวิเศษตักเอาคนของเจียงจื่อหยาไปไว้ในค่ายกล ๑๒ คน  ร้อนถึงโลจู้เทียนจุนขี่โคเขียว ต้องมาปราบฆ่านางตายทั้งหมด

        สรุปจากการรบของหลี่โลเชียมีดังนี้

        โลเชียออกรบกับนางตันเตงหยก

        โลเชียออกรบกับโทเฮงสุน  ถูกโทเฮงสุนจับได้ พระเจ้าโจ้วหวางทรงต้องการให้จับเป็น

        ซูหูเจ้าเมืองกิโจวบิดานางต๋าจี่มเหสีพระเจ้าโจ้วหวางเป็นแม่ทัพใหญ่ยกไปตีเมืองกีซี มีทหารกล้าผู้หนึ่งคือ เจิ้งหลุนหรือแต้หลุน  ได้สู้รบกับโลเชียจนแพ้กลับเข้าค่าย  ส่วนกิมเชียรบกับจิวสิ้น บกเชียรบกับหลี่กีผู้มีใบหน้าเหลืองหนวดแดง

        หลี่งัก หน้าเขียว สามตา เขี้ยวงอกพ้นปาก หนวดเคราแดง เสื้อแดง ถือกระบี่ขี่โลโต ใช้สารพิษใส่ในบ่อน้ำสระน้ำ จนผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก

        หวงเทียนหัวรบกับเจิ้งหลุน โลเชียเข้าไปช่วย

        โลเชียรบกับหลี่งัก มีกิมเชีย บกเชียเข้าช่วย จนหลี่งักหนีออกจากเมือง

        หลี่จิ้ง บิดาหลี่โลเชีย หลี่กิมเชีย หลี่บกเชีย เดินทางไปเมืองซีกีเข้าร่วมสมทบในกองทัพของพระเจ้าโจวอู่หวาง

        อินเฮากงจื่อโอรสพระเจ้าโจ้วหวางยกออกไปเมืองซีกี เจียงจื่อหยาจึงจัดทัพเป็นแปดกองพล ให้ หลี่จิ้ง หลี่กิมเชีย หลี่บกเชีย หลี่โลเชียและนายพลคนอื่นๆ เป็นแม่ทัพ ผลสงครามอินเฮากงตายในสนามรบ กองทัพแตกพ่าย

        พระเจ้าโจ้วหวางจึงทรงให้ อั๋งกิมเป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองซีกีอีก  แต่อั๋งกิมแปรพักตร์เข้ากับฝ่ายเมืองซีกี

        พระเจ้าโจวอู่หวางโปรดฯให้เจียงจื่อหยาดำรงตำแหน่ง เจียงไท่กง ผู้เป็นใหญ่ฝ่ายกลาโหม  แล้วเตรียมพลยกไปตีเมืองเฉาเกอ  ให้หลี่โลเชียเป็นนายทัพปีกขวา ทัพหลวงคือ พระเจ้าโจวอู่หวาง แม่ทัพใหญ่คือ เจียงไท่กุน

        ข้างเมืองเฉาเกอให้ข่งสานนายด่านซำซานกวนเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกทัพออกไปต้านกองทัพเมืองซีกี

        โลเชียออกรบกับโกแกหลง

        เจียงไท่กงจัดทัพใหม่ ให้โลเชียกับอู่จี๋เป็นปีกซ้าย

        ผลการรบยังไม่แพ้ชนะ เจียงไท่กงจึงให้โลเชียเข้าปล้นค่ายในเวลากลางคืน โลเชียถูกข่งสวนจับได้  ข้างหลี่จิ้งเข้ารบกับข่งสวนเอาถะเจดีย์หรือเหลงหยกกิมทะเข้าครอบข่งสวน  แต่ถูกข่งสวนจับเอาตัวไปได้ ข้างบกเชียและกิมเชียเข้าสู้รบแต่แพ้ข่งสวน ถูกจับเข้าไปในค่าย

        จุ้นเถเต้าหยินแสดงตัวออกมารบกับข่งสวนซึ่งชาติเดิมเป็นนกยูงตาข้างเดียว

        โลเชียเข้าตีด่านจีสุ้ยกวน  อิวฮอเอาง้าวฟันโลเชียจนตกม้า บาดเจ็บไปรักษาตัวกับอาจารย์ที่เขาจินกงตง

        เอียวเจี้ยนได้ยาวิเศษจากอาจารย์ของอิวฮกเอาไปรักษาโลเชียโดยปลอมตัวเป็นอิวฮอไปขอยามาให้

        โลเชียรักษาตัวจนหาย อาจารย์จึงให้สุราสามจอกพร้อมกับพุทราสามเม็ดเอามากิน แล้วเหาะกลับไปเมืองซีกี  ขณะนั้นตนรู้สึกว่ามีแขนซ้ายขวางอกออกมาเพิ่มข้างละสองแขน ลูบใบหน้าดูเหมือนจะมีใบหน้าเพิ่มอีกสองหน้า กลายเป็น สามหน้าหกกร จึงรีบกลับไปหาอาจารย์  อาจารย์บอกไม่ต้องตกใจ พร้อมกับให้อาวุธวิเศษเพิ่ม คือ ระฆังทองใบหนึ่ง อิฐทองแผ่นหนึ่ง ทวนคู่หนึ่ง กระบี่เล่มหนึ่ง แล้วร่ายมนตร์ปลุกเสกให้

        โลเชียกลับไปที่ค่ายกองทัพ

        โลเชียเข้ารบกับเหงป้าและฆ่าเหงป้าตาย

        หลี่งักตั้งค่ายกลชื่อ จุยหองติ้น

        ฮุนจงจู้เห็นว่าเจียงไท่กงมีเคราะห์ ๑๐๐ วัน ตนจึงรับเป็นแม่ทัพใหญ่แทน

        หลี่งักเข้ารบกับนายทหารเอกทั้งเจ็ดคน คือ หลี่จิ้ง หลี่กิมเชีย หลี่บกเชีย หลี่โลเชีย หลุยจินจู้ เอียวเจี้ยน อุยฮอ

        กองทัพยกไปถึงด่านตงกวน มีอิหุยนายด่านกับบุตรห้าคน เข้ารบ อิเต๋อบุตรคนหนึ่งหนีไปได้แล้วเสกยันต์เป็นควันพัดเข้าไปในค่ายเจียงไท่กง ทำให้ทุกคนสลบ ยกเว้นโลเชียเพราะถือกำเนิดมาจากรากเหง้าบัวและเอียวเจี้ยนเพราะรู้ตัวก่อน

        กุยหยงจินหยินมาช่วยทำให้ทุกคนฟื้นขึ้นปลอดภัย  แล้วเข้ารบกันใหม่ ครอบครัวแซ่อิตายหมด พวกทหารต่างหนีไปสิ้น กองทัพจึงยึดด่านตงกวนได้

        ข้างเซียนฝ่ายพระเจ้าโจ้วหวางที่มาช่วยรบคือ ท่องเทียนกาจู้ และกิมเหลงเสียงโบ้ซึ่งสององค์นี้ไม่เลือกว่าคนดีคนชั่วช่วยหมดทุกคน  ส่วนเซียนที่มาเข้ากับพระเจ้าโจวอู่หวางมี ๑๒ องค์ คือ  กงเสงจู้ เซียเจงจู้ กงฮวดเทียนจุน เผาเหยียนจินหยิน ผังโตหยิน โต๊ะเต๊กจินกุน ไท่อิดจินหยิน เหลงโป ไต้หวดสู โตเหงเทียนจุน กีลิวสุน และเหยียนเตงโต

หยิน  ทั้งสองฝ่ายต่างมีเซียนที่เป็นเพื่อนกันมาช่วยรบด้วย

        ข้างท่อเทียนกาจู้ตั้งค่ายกลขึ้นเรียกว่า ป้านเสี่ยนติ้น  เซียนต่างเข้ารบกันด้วยอาวุธวิเศษ ฝ่ายเซียนสององค์พ่ายแพ้ เซียนทั้งหลายจึงกลับไปสำนักของตน

        กองทัพยกถึงด่านหลิมตงกวนซึ่งเป็นด่านชั้นในเกือบถึงเมืองหลวงแล้ว  โลเชียแปลงเป็นสามเศียรหกกรเข้าตีด่าน

        เจียงไท่กงให้กิมเชียบกเชียไปช่วยเกียงบุนห้วนเจ้าเมืองตังลู่เพื่อเข้าตีเมืองอิวหุนกวน

        โลเชียออกรบกับเตียวแก๋ แผลงเป็นมังกรเก้าหัวพ่นไฟเตียวแก๋แทรกแผ่นดินหนี โลเชียคิดว่าเขาตายแล้ว

        เอียวหยิมฝ่ามือมีตาเห็นเตียวแก๋ดำดินมาจะทำร้ายร่างกายเจียงไท่กง จึงเอะอะขึ้น เขาจึงหนีไป

        เมืองเฉาเกอประกาศรับสมัครผู้อาสาจะไปรบกับกองทัพเจียงไท่กง  ข้างพวกปีศาจพรรษาแก่กล้า จึงต่างอาสากัน  มีอวนหองปีศาจชะนี

ง่อหลงปีศาจตะขาบ เสียงเฮาปีศาจงู  จึงโปรดฯให้อวนหองเป็นทัพหลวง ง่อหลงและเสียงเฮาเป็นทัพหน้ายกออกจากเมืองหลวง

        เจียงไท่กงรบกับเตียวแก๋  โลเชียยกพลเข้าด่านได้ เตียวแก๋กลับมาด่านเข้ารบกับโลเชีย แต่แพ้หนีไปถูกเอียวเจี้ยนฆ่าตาย

        เจียงไท่กงยกมาถึงด่านหวนหองเข้ารบกัน เอียวเจี้ยนจึงบอกเจียงไท่กงว่าเป็นปีศาจแปลงมา

        ภายในเมืองเฉาเกอพระเจ้าโจ้วหวางยังทรงพระสำราญกับพระนางต๋าจี่  ด้วยการจับเอาคนมีครรภ์มาพนันว่าเป็นบุตรหญิงหรือชาย ว่าแล้วก็ผ่าท้องดูกัน

        ปิจู้ ขุนนางผู้ใหญ่ บุตรปิกันกงจึงเตือนว่าไม่สมควรทำ ทรงกริ้วรับสั่งให้เอาไปฆ่าเสีย หมุยจิวคี่หมุยจิวเอี๋ยนญาติกราบขออภัยโทษ ทรงละโทษให้ถอดเป็นไพร่เนรเทศไปชายแดน  ข้างสองคนนั้นหนีไปอยู่ที่เมืองซีกี

      อยู่มามีสองคนสมัครเป็นทหาร  คนหนึ่งใบหน้าเขียว ดวงตาดั่งดวงไฟ มีเขี้ยวงอก ร่างกายล่ำสันใหญ่ อีกคนหนึ่งใบหน้าแดง  ดวงตากลมโต  เขี้ยวแหลมคมเหมือนกระบี่ ศีรษะมีเขาทั้งสองข้าง  บอกว่า แซ่เกา คนแรกชื่อ เกาหมิง คนหลังชื่อ เกาชุก  พระเจ้าโจ้วหวางโปรดฯให้เป็นทหารใหญ่ในตำแหน่ง จินจู้เซียงเจี๋ยง ให้ยกทัพไปช่วยอวนหอง  ข้างอวนหองเห็นก็จำได้ว่า สองคนนี้เป็นปีศาจอยู่บนต้นไม้ที่ภูเขากี่ปั๋ว

        เกาหมิงเกาชุกเข้ารบกับโลเชีย ถูกเพลิงดำดินหายไป  ข้างโลเชียคิดว่าตายแล้วจึงแจ้งแก่เจียงไท่กง  ตอนเช้าเจียงไท่กงเห็นพี่น้องแซ่เกาออกรบอีก หาว่าโลเชียพูดปด  ข้างเกาหมิงได้ยินจึงบอกเกาชุก  เพราะเกาหมิงมีหูทิพย์ได้ยินได้ไกล  ส่วนเกาชุกมีตาทิพย์สามารถมองเห็นได้ไกลมาก  เจียงไท่กงจึงให้หลี่จิ้งกับเอียวหยิมเข้ารบกับสองแซ่เกา  เอียวเจี้ยนอยู่ไกลเห็น  จึงร้องบอกให้รู้ หลี่จิ้งจึงเอากิมถะตีเกาหมิง เอียวหยิมเอาพัดวิเศษโบกเป็นไฟถูกเกาหมิง  ทั้งสองคนหายตัวไป

        เอียวเจี้ยนเข้ารบกับง่อเสง  ง่อเสงหายตัวไป

        เจียงไท่กงแก้ไขด้วยการให้นายทหารสี่คนเอาเลือดสุนัขดำกับเลือดไก่ดำและอุจจาระ เตรียมไว้  เมื่อสองคนนั้นออกมาท้ารบ จึงเอาของสกปรกเหล่านั้นสาดไปจนพวกสกุลเกาหายตัวไป

        เอียวเจี้ยนจึงไปหาอาจารย์เพื่อขอวิธีปราบพวกแซ่เกา  อาจารย์จึงแนะวิธีให้  เอียวเจี้ยนจึงแจ้งแก่เจียงไท่กง  เจียงไท่กงจึงให้หลี่จิ้งกับ

หลุยจินจู้ไปที่เขากี่ปั๋ว โค่นต้นลำพูที่ปีศาจเกาหมิงสิงอยู่  แล้วไปรื้อศาลเจ้าที่ปีศาจเกาชุกอาศัยอยู่  จุดไฟเผาเสียสิ้น  หลังเสร็จสงครามจะไปปลูกต้นลำพูและสร้างศาลเจ้าให้ใหม่

        กองทัพพระเจ้าโจวอู่หวางยกเข้าล้อมเมืองเฉาเกอ  เจียงไท่กงไม่ต้องการให้นายทหารที่มีอาวุธวิเศษทำลายกำแพงเมือง เพราะจะทำให้ราษฎรในเมืองตกใจและได้รับความเดือดร้อน

        ข้างพระเจ้าโจ้วหวางด้วยขัตติยะพระมหากษัตริย์ จึงทรงเป็นแม่ทัพยกออกไปรบ กลับแพ้ยับเยินเสด็จหนีเข้าเมือง เข้าไปที่พระตำหนักเตี๊ยะแซเหลา  ให้นางข้าหลวงขนไม้ฟืนสุมใต้พระตำหนักแล้วให้จุดไฟเผา  ส่วนพระองค์ประทับอยู่ในนั้น สิ้นพระชนม์ในกองไฟ ประมาณก่อน ค.ศ. ๑๐๒๘

        พระเจ้าโจวอู่หวางเสด็จเข้าเมืองเฉาเกอ  ราชวงศ์ซังจึงถึงกาลอวสาน

        ภายหลังเสร็จศึก พระเจ้าโจวอู่หวางได้พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่พระราชวงศ์แซ่จีให้ไปครองเมืองต่างๆ ขุนนางน้อยใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนได้รับกันทั่วทุกคน

        แล้วเจียงไท่กงจึงประกอบพิธีเรียกวิญญาณที่มีชื่อปรากฏอยู่ในเฟิงเสินเอี่ยนอี้จำนวน  ๓๖๕ คนทั้งสองฝ่าย ให้มารับบำเหน็จรางวัลและการถูกลงโทษ   ฝ่ายที่อยู่เมืองเฉาเกอถือว่ามีความซื่อสัตย์ต่อเจ้านายของตนจนตัวตาย ฝ่ายที่อยู่เมืองซีกีถือว่ามีความกตัญญูต่อเจ้านายของตนและซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน

        ข้างนายทหารเอก ๗ คน  คือ หลี่จิ้ง หลี่กิมเชีย หลี่บกเชีย หลี่โลเชีย หลุยจินจู้ อุยฮอ และเอียวเจี้ยน  ต่างไม่รับรางวัลใดๆทั้งสิ้น เพราะถือว่าอาจารย์ใช้ให้มาช่วยเมืองซีกี  ต่างจึงกราบทูลลาพระเจ้าโจวอู่หวาง กลับไปยังภูเขาสำนักที่พวกตนอยู่  บำเพ็ญพรตจนสำเร็จเป็นเซียนในที่สุด


Credits : Somboon Kantakian

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น