ไต่เส้งปุดจ้อ
เห้งเจีย หรือ หงอคง เป็นเทพ ตามพงศาวดารจีนเรื่องไซอิ๋ว ซึ่งกล่าวถึงลิงตัวหนึ่งที่เกิดจากหิน บนยอดภูเขา “จิ่วหัวซัน” มีความเก่งกล้าสามารถมาก มีอาวุธวิเศษในมือ คือกระบองที่ยืดได้ จนไปถึงเทียมฟ้าสวรรค์ และ สามารถหดได้ เหลือเพียงอันเล็กๆ ที่สามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้ และยังมีพาหนะคู่ใจคือก้อนเมฆ “คินตอน”
หงอคงมีนิสัยพาลเกเร วันหนึ่งขึ้นไปอาละวาดบนสวรรค์ สร้างความปั่นป่วนแก่บรรดาเทพเจ้าบนสวรรค์เป็นอย่างมาก เง็กเซียนฮ่องเต้เห็นว่าหงอคงคงจะว่างเกินไป จึงมอบหมายหน้าที่ให้เป็นคนดูแลม้าในสวรรค์ หงอคงโกรธมาก ที่เห็นว่าตนได้เพียงตำแหน่งเล็กๆ จึงได้ฆ่าม้าตายหมดทุกตัว เง็กเซียนฮ่องเต้พิโรธมาก จึงรับสั่งให้ขุนพลสวรรค์ มาตามจับตัวเห้งเจียไปลงโทษ แม้กระทั่ง นาจา ผู้เก่งกาจของขุนพลสวรรค์ก็ยัง ไม่สามารถเอาชนะหงอคงได้ เง็กเซียนฮ่องเต้ต้องยอมอ่อนข้อให้ และยกตำแหน่งให้เป็น ฉีเทียนไต่เสี่ย หรือ ผู้ยิ่งใหญ่เท่าฟ้า มีหน้าที่ดูแล สวนลูกท้อบนสวรรค์ ในที่สุดหงอคงก็ป่วนสวรรค์ จนวุ่นวายอีกครั้ง โดยการแอบกินลูกท้อสุกจนหมดสวน ดื่มสุราสวรรค์ ขโมยยาอายุวัฒนะของเทพเจ้าดาวพระศุกร์กินจนหมดห้อง เมื่ออับจนหนทาง สวรรค์ต้องขอพึ่งบารมี พระพุทธเจ้า มาช่วยปราบ หงอคงก็หาได้กลัวไม่ หงอคงอ้างว่าเง็กเซียนฮ่องเต้สู้ตนไม่ได้เอง ดังนั้นตน ก็มีสิทธิที่จะ ครอบครองสวรรค์ องค์พระพุทธเจ้า จึงตรัสแก่หงอคงว่า “เอ้า เจ้าอวดว่าฤทธิ์มากนัก เอาอย่างนี้ ขึ้นมาบนพุทธหัตถ์ ของเราตถาคตนี่ ถ้าเจ้ากระโดดออกไปพ้นฝ่ามือเราได้ เราก็จะเจรจากับ เง็กเซียนฮ่องเต้ ให้ยอมให้เจ้า ครองสวรรค์ต่อไป” หงอคงก็หัวเราะ จึงตอบพระองค์ไปอย่างสุดแสน ที่จะจองหองว่า "ฮ่าๆ ไม่ ต้องออกไปแค่พ้นอุ้งมือ ของท่านแค่นี้หรอก เดี๋ยวจะเหาะไปให้จนสุดขอบโลกเลยทีเดียว ว่าแล้ว หงอคงก็สั่งให้ “ก้อนเมฆกายสิทธิ์” ยานคู่ชีพให้เหาะและ พาไปที่สุดขอบโลกทันที ก้อนเมฆกายสิทธิ์พาหงอคง เดินทางมา ไกลมากโขอยู่ และยังเดินทาง ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีทีท่าว่าจะหาที่สุดขอบโลกได้เลยสักที แต่เมื่อเหาะ พามาได้ไกลมากพอดู หงอคงก็แลเห็น มีเสาปักอยู่ 5 ต้น เสาทั้ง 5 ได้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าลิบๆ ด้วยความดีใจ และเข้าใจผิดคิดว่าเสาทั้ง 5 ต้นนั้น คือจุดที่กำหนด บอกถึงที่สุดขอบโลกอย่างแน่นอน คิดเอาว่า คราวนี้ตนชนะแน่แล้ว และเพื่อความรอบคอบ จึงเข้าไปเขียนชื่อ ของตัวเองไว้เป็นที่ระลึกด้วยว่า " หงอคง " หมายให้เป็นหลักฐาน อ้างอิงกับองค์พระพุทธเจ้า และได้เหาะย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง องค์พระพุทธเจ้า มิได้ตรัสอะไร ได้แต่ยกพระหัตถ์ ของพระองค์ขึ้นให้หงอคงดู ที่นิ้วพระหัตถ์ ของพระองค์นั้น ปรากฏอักษรคำว่า "หงอคง " ที่หงอคงได้เขียนเอาไว้ ปรากฏหลา ให้เห็นอยู่ แล้วก็ไม่ต้องบอกอะไรก็รู้อยู่แก่ใจว่า ไม่ว่าหงอคง จะเหาะออกไป ให้ไกลแค่ไหน แท้จริงแล้ว มันก็ยังคง บินเหาะอยู่ แต่ในบริเวณ หรือในพระหัตถ์ ขององค์พระพุทธเจ้าแค่นั้นหงอคงเหมือนจนแต้มที่จะโต้เถียงจึงยอมรับผิดและยอมพ่ายแพ้ไปโดยปริยาย จึงโดนลงโทษ และสาปให้ หงอคงอยู่ใต้ภูเขา “โกเคียว” เป็นเวลา 500 ปี โดยตรัสว่าหงอคง จะพ้นโทษได้ก็ต่อเมื่อ มีองค์พระตถาคตองค์หนึ่งธุดงค์ผ่านมาเมื่อเวลาผ่านไป 500 ปี วันหนึ่งก็มีพระตถาคตองค์หนึ่ง จำเป็นต้องเดินทางผ่านมาทางนี้พอดี พระตถาคต องค์นั้นก็คือ “พระถังซัมจั๋ง” หงอคงจึงอ้อนวอนขอให้พระถังซัมจั๋ง ช่วยปลดปล่อยตน แล้วจะยอม เป็นบริวาร ติดตามไปทุกหนทุกแห่ง เพื่อปกป้องคุ้มครอง ให้พ้นจากอันตรายเป็นการตอบแทน พระถังซัมจั๋ง จึงได้ช่วย หงอคงออกมา หงอคงจึงได้ เดินทางไปกับพระถังซัมจั๋ง ระหว่างทางก็มีหัวหน้าหมู่บ้านมาพบ และขอความช่วยเหลือ โดยเล่าว่า ปิศาจหมู (ตือป๊วยก่าย) ลักพาตัวลูกสาวไปเพื่อจะเป็นเจ้าสาว หงอคงจึงไปจัดการ ใช้ไม้กระบองตีจนน่วม จนตือป๊วยก่ายต้องยอมแพ้ และขอออกเดินทางร่วมไปด้วย ทั้งสามจึงออกเดินทางต่อ จนมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง ทั้งสามจำเป็นจะต้องข้ามฟากไป อยู่น้ำในแม่น้ำก็เกิดวนขึ้นมา อย่างประหลาด ด้วยฤทธิ์ของปิศาจซัวเจ๋ง ที่เป็นเจ้าของแม่น้ำสายนั้น ซัวเจ๋งจึงได้ปะทะกับ หงอคงและตือป๊วยก่าย ทั้งสองช่วยกัน ทุบตีซัวเจ๋งจนน่วม ซัวเจ๋งจึงยอมแพ้อย่างราบคาบ และเมื่อทราบถึงสาเหตุว่าทำไม พระถังซัมจั๋ง จึงจำเป็นจะข้ามฟากแม่น้ำไปแล้ว จึงเกิดความศรัทธา ขอร่วมเป็นบริวารและขอติดตามไปด้วยอีกตนหนึ่ง
ระหว่างทาง พระถังซัมจั๋ง และบริวารทั้งสามต่างก็พบกับอุปสรรคมากมายนานัปการ แต่ด้วยแรงศรัทธา และมีบริวารที่เก่งกาจ อย่างหงอคง ตือป๊วยก่าย และซัวเจ๋ง ในที่สุดขบวนของ " พระถังซัมจั๋ง " และบริวาร ก็ได้เดินทางมาได้จนถึง " ชมพูทวีป " และได้อัญเชิญพระ ไตรปิฎกกลับสู่ประเทศจีน ได้อย่างปลอดภัย ตามจุดมุ่งหมาย และหน้าที่อย่างสมบูรณ์ และพร้อมสำเร็จด้วยแรง ศรัทธาสนับสนุนของบริวารทั้งสาม ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็น หรือจัดอยู่ในจำพวก ของปีศาจก็ตาม อย่างน่ายกย่อง และน่าสรรเสริญที่สุดท่านซุนหงอคง บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จมรรคผล กลับคืนสู่ดินแดนสวรรค์ พระนามเต็มของท่านบนดินแดนสวรรค์คือ “เจ้เทียนไต่เส่งปุดจ้อ” ได้รับตำแหน่งเป็นเทพเซียน เฝ้ารักษาด่านสวรรค์ มีอำนาจเทียบเท่าท้าวสักกะเทวราช ตราบจนปัจจุบัน
หน้าที่รับผิดชอบ
เห้งเจีย เป็นเทพที่คนจีนนับถือสืบเนื่องกันตั้งแต่ครั้งโบราณ เพราะ เป็นผู้ประทานความสุข ในฐานะ ผู้กำจัด ปราบปรามปีศาจร้าย จึงนิยม บูชาจะทำให้เป็นผู้ปราศจากสิ่งชั่วร้ายรบกวนมีพลานามัยที่แข็งแรง มีสติปัญญาเป็นเลิศ เฉลียวฉลาด
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
ไซอิ๋ว เป็น นิยายสื่อธรรมะที่ดีมากอันหนึ่งเห้งเจีย คือ ลิงเปรียบเสมือนใจคนเรา คือสามารถคิดไปไกล ได้หลายหมื่นโยชน์ในพริบตาเดียว เมื่อครั้งยังหลงผิดก็อาละวาดทั่วไปทั้งสวรรค์ และมนุษย์ แต่จะคิดไปไกล ขนาดไหน ตีรังกาไปที่ไหนก็เปรียบได้กับ ขันธ์ 5 (ในนิยายเปรียบเสมือนมือทั้ง 5 นิ้ว ของพระพุทธองค์) ครั้นเริ่มสนใจศึกษาธรรมะ ก็ต้องใช้สติ คือมงคลครอบหัวไว้เตือนใจ เวลาจะทำผิด กระบองของเห้งเจีย เปรียบเหมือน ปัญญาเมื่อไม่มีธรรมะ ก็ใช้ในทางผิด เที่ยวรังแกชาวบ้าน เพิ่มพูนกิเลสให้กับตน พอพบ พระถังซำจั๋ง(ธรรมะ) ก็มีสติ(มงคล) และมีเป้าหมายคือไปเอาพระไตรปิฎก(นิพพาน) จึงใช้กระบอง(ปัญญา) ต่อสู้กับ ปีศาจ(กิเลส) ต่างๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายของตน ปัญญา เมื่อใช้ก็ทำให้ฉลาด(ยาว) ถ้าไม่ใช้มันก็โง่(สั้น) นอกจากนี้ ในหลายกรณีที่บรรดาสิงสาราสัตว์ แม่น้ำลำธาร ขุนเขา ป่าไม้ อาวุธยุทโธปกรณ์ ฯลฯ ก็เป็นสัญลักษณ์ ทางธรรมอยู่ด้วย
ปาง
องค์เห้งเจีย ที่เป็นรูปเคารพที่พบเห็นโดยทั่วไปจะมีอยู่อยู่ 2 ปาง คือปางที่สวมชุดเกราะ เรียกว่า “เจ่เที้ยนไต่เส็ง” และปางที่สำเร็จอรหันต์แล้วจะนุ่งห่มจีวรณ์ เรียกว่า “ไต่เส็งปุดจ้อ”
Credits : http://www.jeeteklim.com
สมัครสมาชิก:
บทความ
(
Atom
)
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น